นายวิชัย ศรีวัฒนประภา กำลังตกที่นั่งลำบาก ในคดีที่เกี่ยวข้องกับคิง เพาเวอร์ บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อ 28 ปีก่อน นอกจากธุรกิจสินค้าปลอดภาษีแล้ว วงจรชีวิตของนักธุรกิจแสนล้านผู้นี้ยังเกี่ยวข้องกับการเมือง-ฟุตบอล-ม้า-พระ-ราชวงศ์อังกฤษ
กลายเป็นคดีที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก เมื่อ "มหาเศรษฐีไทย" ตกที่นั่งลำบาก หลังเมื่อ 13 พ.ย. 2560 ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางประทับรับฟ้องคดีหมายเลขดำที่ อท. 352/2560 ระหว่างนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการ ด้านกลไกการปราบปรามการทุจริต คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 18 คน คดีร่วมกันทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐกว่า 1.429 หมื่นล้านบาท
คดีนี้นายชาญชัย อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่าคิง เพาเวอร์ ซึ่งได้รับอนุญาตให้เปิดร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินตั้งแต่ปี 2549 จ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐบาลไม่ตรงตามสัญญาร้อยละ 15 ของรายได้ โดยจ่ายเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น
คดีนี้นายชาญชัย อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่าคิง เพาเวอร์ ซึ่งได้รับอนุญาตให้เปิดร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินตั้งแต่ปี 2549 จ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐบาลไม่ตรงตามสัญญาร้อยละ 15 ของรายได้ โดยจ่ายเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น
บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด, บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท คิง เพาเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด คือ 3 ใน 18 จำเลย ของคดีนี้
หากศาลตัดสินว่ากลุ่มคิง เพาเวอร์มีความผิด จะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของการเป็นเจ้าของและผู้บริหารทีมฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ของ 2 พ่อลูกแห่ง "อาณาจักรคิง เพาเวอร์" -- นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ และ นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคิง เพาเวอร์ -- เนื่องจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีกฎห้ามผู้ที่เคยถูกพิพากษาว่ามีความผิดในคดีอาญา-คดีทุจริตเป็นผู้บริหารสโมสร หรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 30
นายวิชัยถูกจัดให้เป็น "อภิมหาเศรษฐี" ลำดับ 5 ของไทยในปี 2560 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1.62 แสนล้านบาท โดยนิตยสารฟอร์บส์
เขาสร้างตัว-สร้างชื่อด้วยการก่อตั้งคิง เพาเวอร์ ในปี 2532 และชนะการประมูลเข้าให้บริการร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินตั้งแต่ปี 2549 โดยถือเป็นบุคคลที่ครบเครื่องทั้งเครือข่ายธุรกิจและขุมข่ายอำนาจการเมือง เป็นแถวหน้าในหลายแวดวงตั้งแต่วงการ "กีฬา" กระทั่ง "พระเครื่อง"
สร้างตำนาน "จิ้งจอกสยาม"
นายวิชัยถือเป็นมหาเศรษฐีไทยคนที่ 2 ที่เข้าไปครอบครองสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร บุกเบิกซื้อทีม "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2550 ก่อนเทขายหุ้นให้นักธุรกิจชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตในปีต่อมา ขณะที่ "เจ้าสัววิชัย" เข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2553 สมัยทีม "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" ยังอยู่ในลีกรองอย่างเดอะ แชมเปี้ยนสชิป โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือนในการ "ปิดดีล" กับนายมิลาน แมนดาริช เจ้าของและประธานสโมสรคนเดิม เขาต้องจ่ายเงินเข้าสโมสรทันทีงวดแรก 40 ล้านปอนด์ (ราว 2,000 ล้านบาท) ก่อนทยอยจ่ายจนครบ 100 ล้านปอนด์ (5,000 ล้านบาท) เพื่อแลกกับการเข้าถือหุ้นร้อยละ 51
ทว่า "เจ้าพ่อคิง เพาเวอร์" ได้ชิมลางตลาดวงการลูกหนังชั้นนำมาก่อนหน้านั้นนับสิบปี ด้วยการเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนทีมเชลซี และซื้อโฆษณาบนขอบสนามการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรป โดยมิลืมมองหาทีมฟุตบอลเล็ก ๆ เพื่อปั้นให้เติบโต
"เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมนี้มีความพร้อมที่สุดสำหรับผม การสร้างทีมเล็กหรือใหญ่ไม่ใช่ปัญหา ขึ้นอยู่กับคุณภาพพัฒนาการของนักเตะและวิธีบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากคิดเป็นธุรกิจตั้งแต่วันแรกก็คงทำไม่สำเร็จแน่นอน เนื่องจากไม่รู้ชะตากรรมว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทุกอย่างอยู่ที่ความพึงพอใจมากกว่าว่าลงทุนเพื่ออะไร" นายวิชัยเปิดเผยกับ ประชาชาติธุรกิจ (18 ส.ค. 2553)
3 ปีหลังควบคุมทีมอย่างใกล้ชิดในฐานะประธานสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ทยานขึ้นสู่หัวตาราง-คว้าแชมป์ลีกแชมเปี้ยนสชิปได้ในฤดูกาล 2013-2014 (พ.ศ. 2556-2557) ได้สิทธิกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ก่อนประสบความสำเร็จถึงขีดสุดเมื่อคว้าแชมป์ฟรีเมียร์ได้ในฤดูกาล 2015-2016 (พ.ศ. 2558-2559) ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าแรกให้สโมสรแห่งนี้
หลังจากนั้น "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" ก็ได้รับฉายาใหม่จากสื่อมวลชนและแฟนบอลชาวไทยว่า "จิ้งจอกสยาม" ที่สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย ถึงขนาดมีขบวนแห่แหนนักเตะกลางกรุง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2559
ต่อมาในเดือน มิ.ย. 2560 "เจ้าพ่อคิง เพาเวอร์" ขยายอาณาจักรธุรกิจลูกหนังไปที่เบลเยียม หลังปิดดีลซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล เอาด์ เฮเวเลย์ เลอเวน (โอเอชแอล) ทีมในลีกดิวิชัน 2 เข้าถือหุ้นร้อยละ 92 โดยสื่อท้องถิ่นรายงานว่าเสี่ยวิชัยใช้เงินลงทุนไป 2.5 ล้านยูโร (ราว 95 ล้านบาท)
ร่วมขี่ม้าโปโลกับราชวงศ์อังกฤษ
ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาเดียวที่อยู่ในความสนใจของนายวิชัย โปโลก็เป็นกีฬาที่เข้ามาในชีวิตเขากว่า 20 ปีแล้ว และจริงจังถึงขั้นควักเงินสด 10 ล้านปอนด์ (ราว 500 ล้านบาท) ซื้อสนามโปโลกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเขาและบุตรชายไปใช้บริการประจำ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "คิง เพาเวอร์ บิลลิ่งแบร์ โปโล พาร์ค"
สนามแห่งนี้ต้อนรับราชวงศ์อังกฤษเป็นประจำทุกปี ในการแข่งขันโปโลการกุศล เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ และเจ้าชายอับดุล มาทีน แห่งบรูไน ได้เสด็จเข้าร่วมการแข่งขันรายการ "เดอะ คิง เพาเวอร์ รอยัล ชาริตี โปโล คัพ 2017" ที่สนามนี้ ทำให้ชื่อนายวิชัยปรากฏในแวดวงสังคมชั้นสูงของอังกฤษเสมอ ด้วยเพราะการแข่งม้าถือเป็นกิจกรรมของชนชั้นนำ
นั่นทำให้ 2 พ่อลูกตระกูลศรีวัฒนประภา คือสามัญชนไม่กี่คนที่มีโอกาสร่วมเล่นโปโลกับราชวงศ์อังกฤษ
เกี่ยวกับเรื่องนี้นายวิชัยเคยตอบคำถามไว้ในนิตยสารแพรว (24 ม.ค. 2558) ว่า "วันนี้จะมีคนอื่นอีกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมเป็นคนเริ่มต้นแรกๆ ตั้งแต่เล่นกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ก่อนทรงรีไทร์ ต่อมาก็ได้เล่นกับพระโอรสของพระองค์ท่านทั้งสองพระองค์ คือเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี แต่ทุกครั้งเป็นการเล่นเพื่อการกุศลหมดนะ"
ปัจจุบันนายวิชัยเป็นเจ้าของสนามโปโล 3 แห่ง ด้วยนิสัย "ทำอะไรต้องทำให้สุด" และคิดว่าการเล่นโปโล "ทำให้มีความสุขจากข้างใน" เขายังเป็นผู้นำกีฬาขี่ม้าโปโลเข้ามาในเมืองไทย และก่อตั้งสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทยในปี 2547 โดยเป็นนายกสมาคมฯ คนแรก
เศรษฐีพระเมืองไทย
นอกจากแวดวงกีฬา "เจ้าพ่อคิง เพาเวอร์" ยังเป็นนักสะสมพระตัวยง เซียนพระรายหนึ่งระบุว่านายวิชัยบุกหนักทั้งพระเครื่อง พระพุทธรูปบูชา เหรียญคณาจารย์ เทวรูป ภาพวาดพระพุทธเจ้าจากหลากหลายประเทศทั่วเอเชีย ใช้เวลาไม่กี่เดือน วัตถุมงคลชั้นนำก็ไปอยู่ในความครอบครองของเขา จนได้ตำแหน่ง "นักสะสมแห่งปี 2552" ไปครอง
คมชัดลึก เคยประเมินมูลค่าพระเครื่องที่อยู่ใน "กรุพระ" ของนายวิชัย ว่าอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท ทว่า "เศรษฐีพระ" รายนี้ยืนยันว่าความสุขในการสะสมพระเครื่องไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า "พระดีต้องคุ้มครองผู้ครอบครอง"
"ผมเชื่อด้วยว่าการครอบครองพระสวย พระแพง พระองค์ดัง ๆ ในตำนานต้องเป็นคนที่มีบุญวาสนา การมีเงินใช่ว่าจะได้ครอบครองพระเสมอไป" นายวิชัย (คมชัดลึก 5 ธ.ค. 2552)
สำหรับพระเครื่ององค์แรกที่นายวิชัยได้มาห้อยคอ มาจากนายมนตรี พงษ์พานิช อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.คมนาคม ในรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งว่ากันว่ารักใคร่นายวิชัยเหมือนน้อง
นายมนตรีนำพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ องค์ขุนศรี และเกศบัวตูม มาให้เลือกพร้อมพระเครื่ององค์อื่น ๆ ด้วยความไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง ประกอบกับเกรงใจ จึงเลือกหยิบองค์ที่คาดว่าแพงน้อยที่สุดไป
แต่เมื่อเริ่มศึกษา-เข้าสู่วงการพระเครื่องอย่างจริงจัง นายวิชัยได้ใช้บริการ "เซียนพระ" 2 คนคือนายพิศาล เตชะวิภาค หรือ "ต้อย เมืองนนท์" และนายมงคล เมฆมานะ หรือ "โกเนี้ยว สำโรง" คอยตรวจสอบ-คัดกรองพระเครื่องก่อนตัดสินเช่าเข้ากรุ
ต่อมาปี 2554 นายวิชัยได้ยก "อาณาจักรพระเครื่อง" ของเขาไปไว้ในคิงเพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ซอยรางน้ำ นำพระดี-เด่น-ดังออกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ วีอาร์ คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ (วีอาร์ มิวเซียม) ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชม
"เพื่อนเนวิน" แต่ยี้การเมือง
ด้วยงานหลัก-งานอดิเรกที่จัดว่าไม่ธรรมดา ทำให้คนมากหน้าหลายตาสมัครใจเป็น "เพื่อนวิชัย" เขามีสายสัมพันธ์พิเศษกับการเมืองทุกขั้ว ทว่านักการเมืองที่สนิทที่สุดหนีไม่พ้นชายชื่อนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งรู้จักกันผ่านการแนะนำของนายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง เพื่อนสนิทของนายเนวินที่รู้จักกันมากว่า 20 ปี ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของนายวิชัย โดยนายกนกศักดิ์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ ก่อนพัฒนาเป็นสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขณะเดียวกันก็เป็นเลขาธิการสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย ก่อนเป็นนายกสมาคมคนปัจจุบัน
ในยุคที่นายเนวินเป็น "ผู้มีบารมีทางการเมือง" ชื่อโรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ปรากฏในพื้นที่ข่าวการเมืองในฐานะ "ที่ชุมนุม" ของ ส.ส.กลุ่ม "เพื่อนเนวิน" สังกัดพรรคพลังประชาชน ช่วงปี 2551-2553 ก่อนแตกกอมาตั้งพรรคภูมิใจไทย
เมื่อนายเนวินลาขาดการเมือง-ผันตัวเองไปเป็นประธานสโมสรฟุตบอลในบ้านเกิด คิง เพาเวอร์ก็คือผู้สนับสนุนหลักรายแรกๆ ของทีมฟุตบอลบุรีรัมย์
"ไม่ว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ แต่ความเป็นเพื่อนพี่น้องไม่จำเป็นหดหายหรือเสื่อมถอยลงไปด้วย" นายวิชัยระบุ
มาถึงยุค "ทหารเป็นใหญ่" เกมอำนาจขับเคลื่อนโดย "พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์" อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เกิดข่าวลือ-ข่าวปล่อยในสื่อบางสำนักว่าทุนที่ใช้ขับเคลื่อน "พรรคทหาร" ถูกต่อท่อมาจากซอยรางน้ำ บ้างก็ว่า "เจ้าสัววิชัย" จ้องยึดพรรคภูมิใจไทยจากเสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล "น้องรัก" อีกคนของนายเนวิน
กระแสนิยมในทีม "จิ้งจอกสยาม" หลังคว้าแชมป์ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษเมื่อปี 2559 ถูกแปรเป็นกระแสการเมืองในประเทศ อย่างฉับพลัน ทำให้นายวิชัยต้องออกมาปฏิเสธ "คนที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังมาก มักจะต้องมีมารผจญคอยรบกวนจิตใจเสมอ"
เขาออกมาให้ข่าวว่า ชีวิตวันนี้ยุ่งมากพอแล้ว ไม่เคยชอบหรือสนใจการเมือง ส่วนเรื่องจะไปยึดพรรคภูมิใจไทย พรรคอยู่ไหนยังไม่รู้จัก แล้วตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะเอาไปทำอะไร "ถ้าอยากได้ ผมทำไปนานแล้ว ไม่ต้องคอยวันนี้ครับ เพราะมีโอกาสวิ่งเข้ามาชนหลายที่ ผมได้แต่วิ่งหนีทุกครั้ง" (มติชน 25 พ.ค. 2559)
นักธุรกิจแสนล้านตกที่นั่งลำบาก
แม้ถูกสังคมมองว่ามี "ซูเปอร์คอนเนคชัน" กับนักการเมืองทุกขั้ว แต่ปรากฏการณ์คิง เพาเวอร์ ถูกรัฐฟ้อง คือสิ่งที่นายวิชัยบอกว่า "ถ้าเป็นจริงคงไม่น่ามีเหตุการณ์เช่นนี้แน่นอน" เขาเคยอธิบายเรื่องดิวตี้ฟรีไว้เมื่อปีก่อนและอีกหลายครั้ง โดยยืนยันว่า "เรื่องนี้ผ่านการตรวจสอบจากผู้บริหาร ทอท. มาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากไม่มีการทำผิด"
ในวันที่ตกที่นั่งลำบาก จึงเป็นที่จับตามองว่าพระดี-คอนเนคชันกับคนดัง จะทำให้ชะตากรรมของนักธุรกิจแสนล้านลงเอยอย่างไร!!!
ที่มา: BBC Thai
ที่มา: BBC Thai
EmoticonEmoticon