วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ความคืบหน้าล่าสุด ของกรณีการเสียชีวิตของน้องเมย...

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Who is Boss? ( ชมคลิปที่ถูกตามลบ)


ตอนที่ 1

ตอนที่ 2

                                  
ตอนที่ 3


                                  

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ว่าด้วย เทวดา เดอะเกรียน และ ประเทศนี้ ด้อยพัฒนา หรือ ห้ามพัฒนา



ว่าด้วย เทวดา เดอะเกรียน และประเทศห้ามพัฒนา

1. เดอะเกรียน (ทรงผมจัสตินสไตล์ ขาว 3 ด้าน)....
ภาพนี้คือที่ประชุม นายทหาร หลังคำสั่ง ขาว 3 ด้านออกมา....


- การออกคำสั่ง 200/904 ในครั้งนี้เป็นการใช้ Soft power อย่างเปิดเผยและกว้างขวางเป็นครั้งแรกในระบอบ Absolute Manarchy(ของ จัสติน) ได้กระทำการรุกคืบ ชิงอำนาจจาก ระบอบ Authoritarianism ของ ควาย สม ชื่อ (ที่ได้มาจากการ รปห.)แบบไม่ปิดบัง

ถือเป็นการรุกคืบในแบบภาษาชาวบ้านเรียกว่า "เหี้ยไป จัญไรมา" ทั้งนี้นอกจากจะไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตของประชาชน ในทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับตอกย้ำความเป็นทาส ไพร่ ของประชาชนหนักกว่าเดิม เพราะไม่สามารถตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ใดๆได้เลย (เพราะมีภูมิคุ้มกันจาก ร้านพิชช่า) ซ้ำสังคมโดยรวมยังไม่สามารถแสดงความเห็น แต่ละประเด็น ว่าถูกหรือผิด รวมถึง กรณี โอนหุ้น ธนาคารสีม่วงเร็วๆนี้ มูลค่ากว่า หมื่นเจ็ดพันล้าน ไปใส่ในชื่อส่วนตัว เพื่อ.......ต่อไป

ที่สำคัญในการรุกคืบทางสัญญลักษณ์ครั้งนี้ ได้กระทำต่อ ศูนย์กลางอำนาจ ของ ควาย สม ชื่อ ซึ่งก็คือ หน่วย ทหาร ตำรวจ ที่ถืออาวุธ เสียด้วย

- เมื่อมีการใช้อำนาจ (นอกเหนือ กฎหมาย กำหนด หรือเขียนไว้ ) การเริ่มเข้ามามีอิทธิพลเหนือรัฐ จากการแอบสั่งการ แบบลับๆ ่ในรุ่นพ่อ มาเป็นการสั่งแบบให้รับรู้ ไม่ต้องเกรงใจใครแบบนี้ ในรุ่นลูก

ในเรื่องสำคัญอื่นๆทุกเรื่องต่อไปนี้ในประเทศนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆ เขียนไว้ ว่า ใครมีอำนาจทำอะไร ได้หรือไม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงแก้ไข รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถึงแม้จะมีการลงประชามติไปแล้วก็ตาม เป็นต้น

เพราะนี่คือ....

Absolute Manarchy ของ จัสติน แต่ผู้เดียว

หรือว่า วันนี้ เราย้อนเวลากลับไปหา ยุคAbsolute Manarchy สมบูรณ์แบบกันแล้ว






1. ประเทศไทย ไม่เจริญ เพราะ มีคนไทย อาศัยอยู่ จริงหรือ ?

(ประเทศนี้พัฒนาไม่ได้ เพราะมีคนไทยที่มีลักษณะที่ไม่สามารถพัฒนา เช่น ......) 

หรือ 

2. เป็นเพราะมีเหล่าเทวดา* คอยปกครองประเทศนี้่ ?

(โดยเหล่าเทวดาและบริวาร สร้างวาทกรรม ให้คนไทยทั้งแผ่นดิน ยอมจำนนต่อวาทกรรมที่ว่า "ดีเอ็นเอไทยในตัวประชาชน" คือ สาเหตุหลักของการไม่พัฒนาในประเทศนี้ และจำต้องยอมรับสภาพ "วิธีชีวิตแบบพอเพียง ตามมี ตามเกิด" และ ยอมรับรับสภาวะ "ทาสที่ีไม่ไปไหน ร้องห่ม ร้องไห้เมื่อต้องเป็นอิสระ")

หากตอบคำถามนี้ คงตอบได้ว่า ประเทศนี้ ด้อยพัฒนา หรือ ห้ามพัฒนา 

* การดำรงอยู่ระบบเทวดาและทาส เป็นสิ่งจำเป็น เพราะ เหล่าเทวดา บ้ากาม(ชอบไปมั่วกามนอกกะลา) ยังคงต้องการ แรงงานทาส เอาไว้ขูดรีดแรงงาน เอารับใช้ในหลากหลายรูปแบบ(ค่าจ้างจ่ายเป็นเหรียญเชิดชู และรับเงินส่งส่วยจากทาสได้อีก) นั้นเอง

เชิญเพื่อนๆ ออกความเห็น ทั้งพวกอยากเตะเทวดา และอยากเลียไข่เทวดา.......

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ผกก.พัทยานำตำรวจ 470 นายตัดผมสั้นขาว3ด้านตามระเบียบ สตช.(ชมคลิป)

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณชั้น 2 สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา นำเหล่าข้าราชการตำรวจ สภ.เมืองพัทยา กว่า 400 นาย ตัดผมตามมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี เล่ม 2 ลักษณะที่22 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการแต่งกาย

"เดอะเกรียน" ทรงผมยอดนิยมแห่ง กะลาแลนด์


ประเทศกะลานีเซีย  คือ ประเทศที่ เด็กนักเรียน, นักโทษชาย, ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร นิยมทรง "เดอะเกรียน"

หมายเหตุ: ภาพนี้ ไข่แมวดีไซน์ช่างตัดผม ไม่น่าจะถูกต้อง  ที่จริงน่าจะเป็น จัสติน ไม่ใช่ สมเด็จหงอกเจียม



วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เปิดโปง สัมพันธ์ลึก "บิ๊กตู่-เจ้าสัวโซว เคียกเม้ง" กินรวบประเทศไทย ตอนที่ 1 (ลากไส้ ผลประโยชน์ทับซ้อน)

ตอน ลากไส้ ผลประโยชน์ทับซ้อน ของ “ประยุทธ์ - เจ้าสัวช้าง” ผ่านที่ดินมรดก 600 ล้าน

                เงิน 600 ล้านบาท ที่ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด แลกกับที่ดินในแขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ จำนวน 9 แปลง เนื้อที่ 50-3-08 ไร่ ของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา บิดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 ถือเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับกลุ่มทุนใหญ่ของประเทศ
                
ด้วยมีการขุดคุ้ยว่า แท้จริงแล้ว บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด นั้นมี  ผู้ถือหุ้นใหญ่” ที่จดทะเบียนอยู่ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ไอส์แลนด์ และเชื่อมโยงกับธุรกิจของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และธุรกิจเครื่องดื่มแสนล้าน

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ใหม่ พิมพ์ลักษณ์ x factor โต้ ดราม่า.....

“ใหม่ ดิเอ็กซ์แฟกเตอร์” โต้ดราม่ากลางเวที เผยความรู้สึก “นิ๊ก”คือพี่ชายจริงๆ!
หลังจบการแข่งขันรอบ 4ChairChallenge ประเภทอายุ 30 ปีขึ้นไป ในรายการ The X Factor Thailand ที่ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยประเภทนี้มีโปรดิวเซอร์คือ ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นกรรมการผู้คัดเลือกในกลุ่มนี้ให้เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 4 คนเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เปิดโปง สัมพันธ์ลึก "บิ๊กตู่-เจ้าสัวโซว เคียกเม้ง" กินรวบประเทศไทย



ซีรีย์ยาว 5 ตอน สัปดาห์ละ 2 ตอน  เริ่มวันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

ตัวอย่างบางตอน......

จากนั้นยังปรากฎในงบการเงินของบริษัทระบุว่า เมื่อ 15 สิงหาคม 2556 บริษัทได้ซื้อสิทธิสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจำนวน 403.87 ล้านบาทจากบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อขายสิทธิให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน จำนวน 407 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556 เกิดกำไรจากการจำหน่าย 3.13 ล้านบาท  หลักฐานดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่าการซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นการซื้อในราคาสูงเกินจริง  ในลักษณะการให้ผลประโยชน์แก่ พล.อ.ประยุทธ์ฯ  และเมื่อได้เงินเข้าบัญชีแล้ว พ.อ.ประพัฒน์ฯ ได้โอนเงินจำนวน 570 บาท ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ฯ ยืนยันกับผู้สื่อข่าวที่ไปสอบถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ เป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดินทั้งหมดเอง

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ว่าด้วย ETIP ETUN EBUDDY E3ตัว มหาประลัยแห่ง กะลา โทรม (ชม Executive photo)


เรื่อง 3E HEE มหาประลัยของพี่ๆ พี่ๆบิ๊กๆ 3-4ท่าน ระวังไว้นะครับ เด๋วจะหาว่าน้องไม่เป็นหูเป็นตาให้..หรือรู้แล้วไม่เสือกบอกพี่ล่ะ 
by จเด็ด สิบทิศ

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มีวันนี้จนได้ : วันชัย คิง เพาเวอร์

นายวิชัย ศรีวัฒนประภา กำลังตกที่นั่งลำบาก ในคดีที่เกี่ยวข้องกับคิง เพาเวอร์ บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อ 28 ปีก่อน นอกจากธุรกิจสินค้าปลอดภาษีแล้ว วงจรชีวิตของนักธุรกิจแสนล้านผู้นี้ยังเกี่ยวข้องกับการเมือง-ฟุตบอล-ม้า-พระ-ราชวงศ์อังกฤษ

เมื่อไดโนเสาร์ ตูบ หลงทาง หาห้องประชุมถ่ายรูป ไม่เจอ


เรื่องไม่ได้เข้าร่วมในพิธีการจบการประชุม เราจะเห็นการเว้นที่ว่างไว้(ข้างๆ นางอ่องซาน ซูจี)
มันแปลว่าระบบอุปถัมภ์ เส้นสาย สร้างความเสียหายได้รุนแรงมาก เรื่องแบบนี้ เจ้าหน้าที่ทูตของไทยต้องรับผิดชอบทั้งหมดครับ
การแต่งตั้งแต่พวกวิ่งเต้น ประจบ สอพลอ เพื่อความไว้วางใจว่าเป็นพวกกันโดยไม่ประเมินความสามารถ ผลจึงออกมาเช่นนี้ครับ

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Make It Clear: สิงคโปร์ แหล่งหลบภัยยอดนิยม “ผู้นำไทย”

Tags

นายปรีดี พนมยงค์ ต้องใช้เวลา 3 วันเต็มๆ นั่งเรือบรรทุกน้ำมันข้ามอ่าวไทย กว่าจะไปถึงสิงคโปร์เพื่อ “ลี้ภัย” ทางการเมือง หลังถูกรัฐประหารในปั 2490 แต่ในปัจจุบัน เราอาจใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง บินจาก กทม. เพื่อไปยังประเทศปลายสุดของแหลมมลายูแห่งนี้
กลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ผมเพิ่งมีโอกาสได้เดินทางไปที่เกาะซึ่งมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของ กทม.นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบประเทศที่เคยเป็น และยังเป็น “แหล่งหลบภัยการเมืองยอดนิยม” ของผู้นำไทยหลายยุค-หลายสมัย นับรวมแล้วเกือบสิบชีวิต
สิงคโปร์ในวันนี้ เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า และบ้านเมืองดูทันสมัย คล้ายเมืองใหญ่ในยุโรป (มีเพียงสภาพอากาศร้อนชื้นที่เตือนว่าเรายังอยู่ในเอเชีย) ซึ่งแตกต่างจากหน้าเป็นหลังมือกับสิงคโปร์ที่นายปรีดีได้ไปอาศัยอยู่ชั่วคราวราว 3 เดือนเศษ ที่ยังคงเป็นเกาะอาณานิคมอันไกล้โพ้นของอังกฤษ และเพิ่งผ่านความทุกข์ยากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาได้ไม่นาน
ในหนังสือเรื่อง “ปรีดีหนี!” ที่เขียนโดนสุพจน์ ด่านตระกูล ได้เล่าถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของอดีตนายกฯไทย ผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 รายนี้ที่สิงคโปร์ โดยช่วงแรก เขาถูกขอให้พำนักอยู่ที่เกาะ St. John ซึ่งถูกใช้เป็นด่านกักกันโรค เนื่องจากไม่ได้นำหนังสือเดินทางมาด้วย ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะได้ไปอยู่บนฝั่งย่าน Bukit Timah แต่เมื่อถูกทางการไทยกดดันมากๆ เข้า ที่สุด นายปรีดีจึงตัดสินใจเดินทางไปลี้ภัยต่อที่จีน และไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส
ทั้ง 2 สถานที่ที่นายปรีดีเคยอยู่ ผมไม่มีโอกาสแวะไปเยี่ยมเยือน เพราะอยู่ค่อนข้างไกลจากใจกลางเมืองแถวย่าน Marina Bay พอสมควร จนอาจเรียกได้ว่า “ไกลปืนเที่ยง” มากๆ หากมองย้อนกลับไปเมื่อกว่า 70 ปีก่อน
สองทศวรรษหลังการมาอาศัยชั่วคราวของนายปรีดี สิงคโปร์ก็ได้ต้อนรับอดีตนายกฯไทยอีกรายที่มาลี้ภัย นั่นคือ จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งถูกรับรองในฐานะ “แขก VIP” เพราะไม่เพียงได้อาศัยอยู่ในสถานทูตไทยช่วงเวลาหนึ่ง ยังเคยถูก ลี กวน ยู นายกฯสิงคโปร์ขณะนั้น เชิญไปร่วมรับประทานอาหารค่ำในทำเนียบรัฐบาล โดยเขาอยู่ในประเทศนี้ 2 ปีเศษ ก่อนจะบวชเณรกลับไทย และเป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
ปัจจุบัน สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะแม้จะมีขนาดทางกายภาพเล็กกว่าไทยถึงกว่า 700 เท่า แต่กลับมีขนาดทางเศรษฐกิจคิดเป็น 75% ของไทย ผลคือ รายได้ต่อหัวประชากรสิงคโปร์ มากกว่าเราถึง 5 เท่าเต็มๆ ถือเป็นหนึ่งในชาติที่ “รวยที่สุดในโลก”
เหตุที่ผู้นำไทยมักมาลี้ภัยที่สิงคโปร์ อาจเพราะอยู่ใกล้เมืองไทย เดินทางมาได้ไม่ลำบากนัก และสามารถมาได้หลายทาง รถ เรือ เครื่องบิน รถไฟ ที่สำคัญคือเป็นเมืองท่านานาชาติที่สามารถเดินทางไปยังประเทศหรือทวีปอ่านๆ ได้โดยง่าย มาตั้งแต่อดีต
และนอกจาก 3 อดีตนายกฯ ข้างต้น สิงคโปร์ก็ยังเคยต้อนรับผู้นำการเมืองไทยคนอื่นๆ เช่น พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) หนึ่งใน “สี่เสือคณะราษฎร” ที่มาใช้ชีวิตในบ้านหลังคามุงจากเล็กๆ ในช่วงลมการเมืองเปลี่ยนทิศ ราวปี 2493 เช่นเดียวกับสมาชิก “กบฎบวรเดช” บางส่วน อย่างพระยาศราภัยพิพัฒน์  พระยาสุรพันธ์เสนี ขุนอัคนีรถการ ฯลฯ นอกจากนี้ พ.อ.มนูญ รูปขจร (ชื่อและยศขณะนั้น) ก็เคยมาแวะพักที่สิงคโปร์อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนไปเยอรมันตะวันตก หลังกลายเป็นกบฎ เมื่อปี 2528
แต่ใช่ว่าจะมีแต่ผู้นำการเมืองเท่านั้น กระทั่งคนในราชวงศ์ ก็เคยคิดจะมาลี้ภัยที่นี่เช่นกัน 
นายล้อม เพ็งแก้ว เขียนไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ว่าในยุคที่อำนาจและอิทธิพลยังอยู่ในมือขุนนางสกุลบุนนาค รัชกาลที่ 4 เคยใช้เงิน 200 ชั่งเศษ ซื้อที่ดินในสิงคโปร์พระราชทานให้กับรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่ครั้งยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ พร้อมตรัสว่า “ถ้าสิ้นวาสนาแล้วให้ไปอยู่ที่นั่น ถ้ายังมีวาสนาพอจะอยู่ในเมืองไทยได้ก็ให้เก็บค่าเช่ากินไป”  
แต่ในเวลาต่อมา เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ ก็ได้ขึ้นครองราชย์ เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนอิทธิพลของขุนนางสกุลบุนนาคและสกุลอื่น ค่อยๆ ลดลงไปตามกาลเวลา 
ถามว่าในปัจจุบัน ที่ดินซึ่งรัชกาลที่ 5 เคยเกือบได้มาใช้ชีวิต อยู่ ณ จุดใด? 
นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปสิงคโปร์ จะมีอยู่สถานที่หนึ่งที่รู้สึกว่า “ต้องไป” แน่ๆ คือ ถนนสายช็อปปิ้ง Orchard  และหนึ่งในสถานทูตซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่ว่ากันว่ามีราคาที่ดินแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนี้ ก็คือ “สถานทูตไทยประจำสิงคโปร์” 
กลุ่มอาคารซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 11 ไร่นี้นี่แหล่ะ ที่เคยเป็นสถานที่ๆ รัชกาลที่ 5 เกือบใช้ลี้ภัยทางการเมือง จากเหล่าขุนนางที่เรืองอำนาจยิ่งในสมัยนั้น! 
การได้ไปเยือนสิงคโปร์ จึงคล้ายกับได้ไป “ตามรอย” เสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะมีชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ถูกวางไว้กระจัดกระจาย ให้เราไปหยิบเป็นจิ๊กซอว์มาต่อ พอให้เห็นภาพใหญ่ว่ากลเกมอำนาจในเมืองไทยนั้นต่อสู้กันอย่างรุนแรง มาตั้งแต่อดีต  
เพราะถึงขั้นทำสะเก็ดความขัดแย้งกระเด็นไกลข้ามน้ำ ข้ามทะเล มายังเกาะเล็กๆ แห่งนี้ 
ที่สำคัญ บางชีวิตก็ไม่เคยมีโอกาสได้กลับบ้านเกิดเลย นับจากนั้น

ที่มา: Voice TV

เราก็มาถึงยุค "เสื้อแดง แจ้งจับ เสื้อแดง" และ " เสื้อแดง ฟ้อง เสื้อแดง"

แดงแจ้งจับแดง   แดงฟ้องแดง  หากเป็นแบบนี้ แดงหรือเหี้ย หวะเนี่ย!

วีรบุรุษ 30 บาทรักษาทุกโรค "หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ "

Tags

นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ (18 มีนาคม พ.ศ. 2495 - 18 มกราคม พ.ศ. 2551) เป็นนายแพทย์ที่มีผลงานดีเด่นในการบุกเบิกและผลักดันโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า รัฐบาลที่รับเอานโยบายนี้ไปปฏิบัติจริงคือรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ใช้ชื่อว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" นายแพทย์สงวนเป็นเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คนแรกและดำรงตำแหน่ง 2 สมัยติดกัน จนกระทั่งเสียชีวิต และเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท รุ่นที่ 8 (พ.ศ. 2528-2529)
กลุ่มแพทย์ชนบทและผู้เคยร่วมงานกับนพ.สงวน เช่น นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทรุ่นที่ 22 และ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) ยกย่องนพ.สงวนว่าเป็น "รัฐบุรุษแห่งวงการสาธารณสุขไทย"

นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2495 เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 6 คนในครอบครัวชาวจีนในกรุงเทพมหานคร ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย นพ.สงวนเป็นนักกิจกรรม ได้ออกค่ายในช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 ซึ่งทำให้ได้พบประสบการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อน นอกจากกิจกรรมออกค่ายแล้ว จากนิสัยรักการอ่าน ยังเป็นบรรณาธิการหนังสือ "มหิดลสาร" ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย หนังสือที่เขาชอบอ่านคือ วารสารสังคมปริทัศน์ เศรษฐศาสตร์ชาวบ้าน และ หนังสือพิมพ์มหาราช
หลังจากเรียนจบในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 บรรยากาศความตื่นตัวของนักศึกษามีอยู่ทั่วไป นักศึกษาด้านการแพทย์จบใหม่ล้วนมีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม และอยากไปทำงานชนบท นพ.สงวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น จึงเข้าทำงานที่โรงพยาบาลวชิระ กรุงเทพมหานคร อยู่ 1 ปี ก่อนจะออกไปเป็นแพทย์ชนบท ที่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ 5 ปี
ก่อนเสียชีวิต นพ.สงวน ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และมีอาการทรุดหนักด้วยอาการน้ำท่วมปอดและไตไม่ทำงานหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสียชีวิต ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 16.15 น. ของวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551 ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี ด้วยอายุ 55 ปี

Pinkaew Laungaramsri
สำหรับดิฉันแล้ว "วีรบุรุษ" ที่ต้องการหาทางออกให้กับสาธารณสุขไทยคือ หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ และปรากฏการณ์ที่ควรเป็นต้นแบบให้กับคนรุ่นใหม่ได้ดำเนินรอยตาม คือการร่วมกันผลักดันให้รัฐรักษานโยบายการสร้างหลักประกันสุขภาพให้กับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะยากดีมีจน ให้สามารถมีสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านสาธาณสุขได้อย่างเสมอหน้าและเท่าเทียม
การบากบั่นของคุณตูน ในการวิ่งเพื่อขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล เป็นความพยายามที่น่าชื่นชม และดิฉันเคารพในจิตใจเรื่องนี้ของคุณตูน
แต่การแก้ปัญหาการรักษาพยาบาลในสังคมไทย ไม่ใช่สิ่งที่เกิดได้ด้วยการ "ให้ทาน" จากประชาชน แต่ด้วยการสร้างหลักประกันด้านสิทธิ ที่มีแต่รัฐ และ commitment จากรัฐเท่านั้น ที่จะสร้างฐานของหลักประกันนี้ได้
คุณตูนทำและคิดได้ เท่าที่เขาทำและคิดได้
แต่การผลักและแซ่ซร้องให้เขากลายเป็น "วีรบุรุษ" โดยกลบเกลื่อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของสาธารณสุขไทย แถมยังเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่ หดแคบวิธีคิดและการมองปัญหาเชิงโครงสร้างลงเหลือเพียงการบริจาคและให้ทาน
ถือเป็นการทำลายฐานคิดสำคัญที่หมอสงวนได้เคยกรุยทางเอาไว้อย่างน่าละอายยิ่ง












อเยาะเย้ย ทุกข์ยาก ขวากหนามลำเค็ญ 
คนยังคง ยืนเด่น โดยท้าทาย 
แม้ผืนฟ้า มืดดับเดือน ลับมลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน
ดาวยังพราย อยู่จน ฟ้ารุ่งราง
"คือ แสงดาวแห่งศรัทธา เพื่อมวลชน . . ."
ขอไว้อาลัยแด่นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ รัฐบุรุษแห่งวงการ สาธารณสุขไทย1 ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551
1กลุ่มแพทย์ชนบทและผู้เคยร่วมงานกับนพ.สงวน เช่น นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทรุ่นที่ 22 และนพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยสังคมและ สุขภาพ (สวสส.) ยกย่องนายแพทย์สงวนว่าเป็น "รัฐบุรุษแห่งวงการสาธารณสุขไทย"Ž

ปูมหลังชีวิตหมอชนบทสู่หมอนักบุกเบิก
นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2495 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นนายกสหพันธ์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลในปี พ.ศ. 2519 สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี พ.ศ. 2520 เริ่มรับราชการครั้งแรกที่โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีษะเกษ ในตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาล เมื่อปี พ.ศ. 2521 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2526 เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลราษีไศล และย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งการทำงานทั้งสองแห่งได้บุกเบิกการสร้างสุขภาพชุมชนจนเป็นที่รักของชาวบ้านอย่างมาก และที่โรงพยาบาลบัวใหญ่ นายแพทย์สงวนได้รับคัดเลือกเป็นแพทย์ดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2528 ด้วยผลงานการวางแผนงานใช้สาธารณสุขมูลฐานเป็นกลยุทธ์แก้ปัญหา ตั้งกองทุนยา กองทุน โภชนาการหมู่บ้านและชุมชน ฯลฯ ได้รับรางวัลแพทย์ผู้ทำประโยชน์ต่อสังคม ทุนสมเด็จพระวันรัต ประจำปี พ.ศ. 2544 จากแพทย-สมาคมแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2538 เป็นผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และเป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ใน ปี พ.ศ. 2544-2546 ก่อนที่จะมาเป็นเลขาธิการสปสช. ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2546.

นอกจากนี้ยังมีผลงานด้านวิชาการเกี่ยวกับระบบหลักประกันด้านสุขภาพจำนวนมาก ร่วมผลักดันระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จนกระทั่งรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นำไปเป็นนโยบายสำคัญในการหาเสียงคือ 30 บาทรักษาทุกโรค. โครงการนี้สามารถเริ่มต้นและขยายผลไปได้อย่างรวดเร็ว โดยแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงจากหลักการเดิมไปไม่น้อย แต่แนวทางหลักยังเป็นไปตามที่นายแพทย์สงวนวางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาจากความเป็นเพียงโครงการไปสู่การออกกฎหมายรองรับคือ พระราชบัญญัติหลักประสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทำให้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติได้ลงรากปักฐานอย่างมั่นคงในสังคมไทยโดยแท้จริง.

นายแพทย์สงวน นับเป็นหัวขบวนที่ปฏิรูประบบสุขภาพไทยครั้งใหญ่ ในการสร้างความเป็นธรรมทาง ด้านสุขภาพให้กับประชาชน เป็นผู้นำในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือที่รู้จักกันว่าโครงการ 30 บาท. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสปสช.อยากจะทำ ซึ่งจะมีผู้สานต่อโครงการต่อไป 5 ประการ กล่าวคือ

- โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน หรือ "จิตอาสา" ให้คนไข้ที่ป่วยและหายแล้วให้กำลังใจที่มีจิตใจความเป็นมนุษย์ช่วยเหลือเพื่อนที่ยังเจ็บป่วยให้หายจากโรคต่างๆได้. ที่ผ่านมามีเพื่อนช่วยเพื่อนแล้ว เช่น เครือข่ายโรคมะเร็ง (กลายเป็นที่มาของการตั้งกองทุนนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เพื่อนช่วยเพื่อน) เครือข่ายโรคหัวใจ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น โดยในปีนี้จะมีการขยายโครงการไปยังโรคเรื้อรังอื่นๆอีก.

- เร่งรณรงค์ให้ประชาชนในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่เป็นโรคตาบอด ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงคนป่วยที่จะเป็นโรคเบาหวานจะเสี่ยงกับโรคตาบอดด้วย โดยจะมีวิธีจัดการเช่นเดียวกับโรคหัวใจ ให้ความสำคัญในเรื่องการปลูกถ่ายอวัยะ.

- กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น ขณะนี้สปสช.ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ก่อตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพกว่า 880 แห่ง และจะทำให้เกิดความชัดเจนโดยท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วม.

- โครงการลดความแออัดในโรงพยาบาล เพื่อประชาชนเข้า ถึงบริการสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมและลดภาระงานของหน่วยบริการขณะนี้นำร่อง 13 แห่ง โดยให้ประชาชนที่ถือบัตรทองไปใช้หน่วยบริการใกล้บ้านใกล้ใจหรือปฐมภูมิ หรือกล่าวได้ว่าจะไม่มีคนไข้ walk in อีกต่อไป.

- โครงการ "ทำดีได้ดี" เป้าหมายคือ สร้างแรงจูงใจให้หน่วยบริการและเครือข่ายจัดบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน.

ทั้งนี้นายแพทย์สงวนได้เขียนด้วยลายมือตัวเองขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะก่อนเสียชีวิตว่า ขออุทิศร่างกายของตนให้คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดีเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาของนักศึกษาแพทย์. ซึ่งหลังจากการศึกษาทางการแพทย์เสร็จสิ้นแล้วทางญาติและผู้ใกล้ชิดจึงจะนำร่างของนายแพทย์สงวนมาทำพิธีฌาปนกิจ โดยจะมีการขอพระราชทานเพลิงศพต่อไป.

พลิกประวัติศาสตร์ระบบสุขภาพสู่การวางรากฐานทางสังคมเมื่อเริ่มแรกโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีแรงเสียดทานจากวงการเสื้อกราวน์จำนวนมาก บ้างก็เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว. เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่และยาก และหากทำจะต้องถือว่าเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของระบบสาธารณสุขไทยเลยทีเดียว.

ว่ากันว่า เมื่อเริ่มก่อตั้งโครงการฯ นั้น บรรดาหมอในกระทรวงสาธารณสุขบางกลุ่มไม่สนับสนุนก่อให้เกิดแรงเสียดทานอย่างมาก แต่ด้วยความอดทนที่เคยผ่านงานในชุมชน (หมอชนบท) ของคุณหมอสงวน ทำให้ท่านไม่ย่อท้อเพราะอยากเห็นชาวบ้านไม่ต้องล้มละลาย ขายนา ขายบ้าน เพียงเพื่อไปเป็นค่ารักษาคนในครอบครัวเท่านั้น.

อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดขึ้น ในช่วงเริ่มแรก เป็นการทดลองทำเป็นเหมือนลองผิด ลองถูก เก็บเงิน 70 บาท และเก็บ 40 บาท ในท้ายที่สุดพรรคไทยรักไทย (สมัยเดิม 2544) ได้เสนอให้เก็บ 30 บาท จึงเป็นที่มาโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค. แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเก็บ 30 บาทแล้วรักษาได้ทุกโรค เพราะสมัยเริ่มรัฐบาลจัดสรรงบให้อย่างจำกัด. แม้ว่า นักเศรษฐศาสตร์หลายๆ ท่านไม่ว่าจะเป็น ดร.อัมมาร สยามวาลา จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) หรือนายแพทย์วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง หรือแม้กระทั่งดร.โอฬาร ไชยประวัติ ก็ตาม โดยเมื่อเริ่มโครงการรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ปี 2545 จัดสรรงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในอัตรา 1,202.40 บาท/คน/ปี ขณะที่ในปี 2546 จัดสรรให้ 1,202.40 บาท/คน/ปี และปี 2547 รัฐบาลจัดสรรให้ 1,308.50 บาท/คน/ปี ในปี 2548 จัดสรรให้ 1,396.30 บาท/คน/ปี ในปี 2549 ได้รับจัดสรร 1,659.20 บาท/คน/ปี ในปี 2550 ได้รับจัดสรร 1,899.69 บาท/คน/ปี และล่าสุดปี 2551 ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล 2,100 บาท/คน/ปี. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายแพทย์สงวนได้ให้สัมภาษณ์เมื่อ ปลายปีที่ผ่านมาว่า ปี 2552 รัฐบาลควรจัด 2,200 บาท/คน/ปี โครงการจะดำเนินการไปได้.

จะเห็นได้ว่า ความพยายามที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ประชาชน ต่อคน/ปี นั้นเกิดจากหลายๆฝ่ายร่วมกัน ขณะที่นายแพทย์สงวนก็มีส่วนพยายามผลักดันให้รัฐบาลได้รับงบเพิ่มในเรื่องของการมีข้อมูลเชิงลึกของนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขของคุณหมอที่บ่มประสบการณ์มายาวนาน ทำให้รัฐบาลหลายวาระจนถึงรัฐบาลขิงแก่ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มมาตลอดระยะเวลา ซึ่งเดิมโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ต่างประสบปัญหาสภาวะขาดทุนมาตลอดแต่ภายหลัง 2-3 ปี ที่รัฐบาลเพิ่มงบและ มีการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ ทำให้โรงพยาบาลหรือหน่วยบริการประสบปัญหาขาดทุนนั้นค่อยๆหมดไป ดังคำที่คุณหมอสงวนเคยบอกผ่านสื่อว่า "ในช่วงนี้การพูดถึงโรงพยาบาลขาดทุนจะหมดไป คงต้องมาพูดเรื่องการจะทำให้อย่างไรให้ประชาชนได้เข้าถึงโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงๆ หรือโรคที่รักษายากๆ ไม่ต้องล้มละลายได้แล้ว" นั่นเป็น การทิ้งท้ายของนายแพทย์สงวน ที่ตั้งปณิธานว่า จะต้องทำให้ประชาชน ได้รับบริการที่เท่าเทียมกันหรือเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขนั่นเอง..........


นายแพทย์สงวนกับโรคมะเร็ง
นายแพทย์สงวนเริ่มต้นทำงานสาธารณสุขด้วยการทำงานในท้องถิ่นชนบท ต่อมาได้ย้ายเข้ามาในกระทรวงสาธารณสุข ท่านเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีแนวคิดร่วมกันและพยายามทำในสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิรูประบบสุขภาพ" ซึ่งมีหลายเรื่องหลายระบบย่อยที่ต้องการปฏิรูปไปพร้อมๆกัน ภายหลังที่ได้ทำทั้งงานวิจัยและการทดลองปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่รวมถึงการผลักดันโครงการเข้าสู่ระดับนโยบายของประเทศ จนกระทั่งในปัจจุบันกลายเป็นพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และมีการตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขึ้นมา. นายแพทย์สงวนทำหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคนแรก รับผิดชอบการบริหารงานองค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่ซึ่งมีงานหลายด้านและมีทีท่าว่ากำลังจะไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ.

แต่หลังจากที่ท่านดำเนินการ สปสช. มาได้เพียงครึ่งปี ท่านก็พบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง.
มะเร็งเข้ามาเป็นเงื่อนไขใหม่ของชีวิตนายแพทย์สงวน ท่านกล่าวไว้ว่า "ผมก็คงเหมือนกับผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นผม และทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย" เพราะวันที่พบว่ามีโรคร้ายอยู่ในจุดสำคัญของร่างกายนั้น กำลังเป็นช่วงที่เกือบจะถึงจุดสูงสุดของการทำสิ่งที่ท่านใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต.

ภายหลังเข้ารับการผ่าตัดและการรักษา นายแพทย์สงวนยังคงมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ ประหนึ่งว่าโรคร้ายนี้มิได้เกิดขึ้น ความป่วยไข้ครั้งนี้ได้เข้ามาแปรเปลี่ยนมะเร็งให้กลายเป็นพลัง.

กว่า 4 ปี ที่นายแพทย์สงวนใช้ชีวิตให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับโรคมะเร็ง และมองหาหนทางที่จะอยู่กับมะเร็งอย่างมีความสุข. ท่านได้ผลักดันให้มีการพัฒนาและขยายรูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่เรียกว่า "โครงการมิตรภาพบำบัด" ซึ่งเป็นที่มาของ "กองทุนนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" และนี่คือเจตนารมณ์สุดท้ายของนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์.

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประชาธิปไตยที่กินได้ กรณีศึกษาเยอรมนี


มีงานเขียนเรื่องประชาธิปไตยแบบบ้านๆ(ในเยอรมนี) ที่เข้าใจได้ง่ายของชาวออนไลน์ เลยอดเอามาแบ่งปันไม่ได้.....เผื่อชาวกะลาจะได้เปิดหู เปิดตา และเข้าในโลกนอกกะลา บ้าง

Piyanuch Theierl
#ข่าวดังข้ามเวลา เกือบทุกโศกนาฏกรรมใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ที่เป็นเหตุให้คนตายเป็นเบือ เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน รถแก๊สระเบิดที่ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่, โป๊ะล่มที่พรานนก, เรือล่มที่เกาะสีชัง, เรือล่มที่เขื่อนอุบลรัตน์ ขอนแก่น สาเหตุส่วนใหญ่มาความประมาท ทั้งของเจ้าของผู้ประกอบการ ทางการ และผู้ขับขี่ แต่นั่นมันปลายเหตุ ต้นเหตุจริงๆ มันอยู่ที่รัฐบาล ทางการ และการบังคับใช้กฎหมาย

ดิสธร วัชโรทัย : จาก "บุรุษไปรษณีย์ประจำพระองค์" สู่ "ผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง" จนต้องเป็นทาสในตำหนัก ตอนที่1


พ่อและลุงตาย แบบปริศนา  แม่ต้องเป็นบ้า ส่วนตัวเองหมดสิ้นทุกอย่าง เยี่ยงตระพุ่นหญ้าช้าง รอวันถูกพิพากษาต่อไป....

Pavin Chachavalpongpun
10 hrs
ไล่ดิสธรออกจากราชการ แต่ยังไม่พ้นโทษครับ จากนี้ จะยังโดนโทษ 10 เดือนแบบหนักมาก จบแล้ว ยังต้องกลับมาเป็นทาสในตำหนักมหาดเล็กใกล้ชิดอีก ที่บอกว่าโทษหนักมากคือการฝึกแบบทหาร วิ่ง หมอบ คลาน แต่หนักกว่าฝึกพลทหาร สาเหตุที่ถูกลงโทษหนัก เพราะตอนรับใช้ในหลวง ดิสธรไม่ให้เกียรติ...จัสติน... เป่าหูในหลวงหลายครั้งเรื่อง...จัสติน...ขอเบิกเงิน ตอนนี้เลยถึงเวลาเอาคืนครับ เจ็บนี้อีกนาน

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ม่ายไฮโซกระดังงาร้อนแรง "ลักษสุภา กฤดากร"......


“ม่าย” แต่ “ไม่” ไร้คู่
ม.ล.ลักษสุภา กฤดากร


ซิงเกิลมัมพราวเสน่ห์กับความสุขใน “บ้านลักษสุภา” บ้านพักตากอากาศริมหาดหัวหิน สถานที่พำนักและธุรกิจหลักของครอบครัว...สัมผัสความรักครั้งใหม่ของคุณแม่ลูก 2 กับหนุ่มรุ่นน้องชาวออสซี เพราะชีวิตคนเราต้องมีคู่!!
บ่ายแก่ๆ ในวันที่ท้องฟ้าและน้ำทะเลเป็นสีฟ้าใส คลื่นซัดสาดกระทบกับโขดหินริมทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าสมกับชื่อ“หัวหิน” ซึ่งเป็นชื่อที่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ พระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ต้นราชสกุล “กฤดากร” ได้พระราชทานนามชายหาดแห่งนี้ไว้

ซ้อ ปวิน ยัง ถอย.....ใครหว่า!


ใครกันหว่า??? ทำให้ ซ้อ ปวิน ลบ โพสต์ได้.(โพสต์นี้ ลง เมื่อวันพฤหัส และลบไปแล้ว)
ไม่ธรรมดา จริงๆ เซเล็บขบ รายนี้....(พวกแก็งส์แดง ที่แจ้งความจับ คนเสื้อแดง สองคดีซ้อนในวันเดียวกันหรือเปล่าหว่า....)
กำแหง ไม่อยากยุ่งหรอกนะ...ซิบอกให้...แต่สงสัย เพราะไม่รู้เรื่อง จริงๆ

ล่าสุด ซ้อ ปวิน ได้โพสต์แถลงมาว่า.....
เบื่อพวกแค๊ปทันก่อนลบ 55555 เอาใหม่ เรื่องที่ทิ้งไว้เมื่อวาน ผมไม่มีปัญหากับฝ่ายหญิง และไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเรื่องอิลุงตุงนังของเค้า ที่ผมมีปัญหาและหงุดหงิด เป็นเรื่องเซเลปชายมากกว่า ที่เคยนินทาฝ่ายหญิงในคลิปลับ (บังเอิญมีคนยัดเหยียดให้ผมฟัง) พอวันนี้ฝ่ายหญิงมีปัญหา เลยต้องแสดงมิตรภาพเพื่อลบล้างความผิดเมื่อวันก่อน (นินทาแล้วถูกจับได้) นี่แหละครับ สังคมโซเชี่ยลมีเดีย กลายเป็น friend for life เมื่อถูกจับได้ว่าเม้าท์ลับหลัง

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

'ทรัมป์' แหวกกำแพงอินเทอร์เน็ตจีน! ระหว่างเยือนปักกิ่ง



ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงทวีตข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ Twitter อย่างต่อเนื่อง ระหว่างการเดินทางเยือนประเทศจีนในสัปดาห์นี้ แม้ว่าทางการจีนได้บล็อคเว็บไซต์ Twitter ภายใต้นโยบายที่ถูกเรียกชื่อว่า “Great Firewall” หรือ "กำแพงอินเทอร์เน็ต" ของปักกิ่ง
นอกจาก Twitter แล้ว สื่อสังคมออนไลน์ของชาติตะวันตอก รวมทั้ง Facebook ต่างถูกบล็อคในประเทศจีนเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวจีนสามารถเข้าถึงเนื้อหาในสื่อเหล่านั้น
แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับ ปธน.ทรัมป์ที่มีผู้ติดตามทาง Twitter กว่า 42 ล้านคน
โดยข้อความที่ ปธน.สหรัฐฯ ทวีตออกมาจากจีนนั้น มีทั้งการขอบคุณรัฐบาลจีนที่เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ และพาชมบริเวณพระราชวังต้องห้าม หรือ Forbidden City
นอกจากนั้น ปธน.สหรัฐฯ ยังเปลี่ยนรูปแบ็คกราวด์ในบัญชี Twitter ของตน เป็นรูปตนพร้อมนางเมลาเนีย ทรัมป์ กับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และภริยา เป็ง ลี่หยวน ระหว่างชมการแสดงอุปรากรจีนที่พระราชวังต้องห้ามด้วย
การเยือนจีนของผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้ ยังถูกพูดถึงอย่างมากทางเว็บไซต์ Weibo ของจีน จนกลายเป็นหัวข้อยอดนิยมอันดับสามในสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่ถูกวิจารณ์ไม่น้อย คือ ทำไมประธานาธิบดีทรัมป์จึงเล็ดลอดการควบคุมของ "กำแพงอินเทอร์เน็ต" ของปักกิ่ง และสามารถทวีตข้อความใน Twitter ได้ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปทำไม่ได้?
ที่มา: VOA Thai

ที่ดินทรัพย์สินส่วนสาธารณประโยชน์ และที่ดินกว่า 2600 ไร่ ขุมทรัพย์หลายแสนล้าน กลางกรุง!

ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สิน ฯ มีที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,060,000 ตารางวา หรือ 2,650 ไร่ โดยที่ดินผืนใหญ่ที่สุด 300 ไร่อยู...

กลับไปหน้าแรก