วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2561

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เขาคือใคร ตอนที่1(มีคลิป)



ข้อมูลมากมายบอกว่า เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่ม อยู่กับอาณาจักรอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่หลายแวดวง ภายนอกเขาคือนักบริหารที่ตรงไปตรงมา โผงผาง ชัดเจน ตัวสูง และเสียงดัง 
ด้วยวันและวัยสามสิบปลายๆ เอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ น่าจะข้ามขอบของความสำเร็จในธุรกิจมาพอสมควร แต่เมื่อเห็นตัวเองในกระจกกับชีวิตที่สองที่เขาสถาปนาว่า ‘ข้าคือนักผจญภัย’ ผู้ชายคนนี้ยังมี ‘ขอบฟ้า’ อีกหลายสถาน ที่รอการไปพิสูจน์ความกล้าหาญของตัวเอง
ใช่ เอกพูดถึง ‘ขอบ’ หรือว่า ‘Edge’ เขาเป็นพวกที่หากลงมือทำอะไร เขาจะตรงไปถึงขอบของอีกด้าน จะเรียกว่าเป็นความสุดโต่งแบบนั้นก็ได้ ใครจะรู้บ้างว่า ที่ผ่านมาเขาแตะขอบของการผจญภัยมานักต่อนัก เป็นต้นว่า วิ่งในทะเลทรายโกบี ลากเลื่อนบน Artic Circle พายเรือคายัคจากพัทยาไปหัวหิน ปั่นจักรยานทัวริ่งหลายสิบวัน เลาะชายแดนลาว-เวียดนาม ปีนภูเขาสูงในญี่ปุ่นตามลำพัง ฯลฯ 
และเป้าหมายที่รอเขาอยู่ในปลายปี 2018 คือการเดินทางไปใช้ชีวิตที่ชั้วโลกใต้ อย่างน้อยก็ต้องกินเวลาแรมเดือนในอุณหภูมิติดลบ 20 องศาฯ เพราะเขาหวังไปเดินเท้าระยะไกลในดินแดนไกลโพ้นสุดขั้วโลกที่ไม่มีคนอาศัย ไร้สิ่งมีชีวิต ที่นั่นเปรียบเสมือนดวงจันทร์บนดาวโลก ที่เขาหลงใหลมาหลายปี แผ่นดินที่อยู่ใต้ขอบสุดของโลกใบนี้ 
คิดแล้วไม่ได้เก็บไว้ เขาประกาศว่าเขาจะทำโครงการ True South Thailand นำทีมคนไทย 10 ชีวิตร่วมเดินทาง ที่ทวีปแอนตาร์กติกา การเดินทางเป็นแบบพึ่งพาตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ เขาเน้นว่าถึงเวลาที่คนไทยสักกลุ่มต้องพิชิตขั้วโลกใต้ เพราะอย่างน้อยการทำ Expedition ลักษณะนี้ เป็นการตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ตัวเองได้ฝึกฝน พบเจอความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน เพื่อรีดเอาความทรหดอดทนออกมา ก้าวข้าม ‘ขอบกั้น’ ของตัวเอง
GM สนทนากับเขาเรื่องพวกนี้ เอก ธนาธร เป็นนักผจญภัยในธรรมชาติชนิดที่ฟังแล้วเราอาจจะตั้งคำถามในใจ
‘ไม่กลัวตาย ทำไม่ได้’ ‘ไม่รวย ทำไม่ได้’ ‘ไม่บ้าบอ ทำไม่ได้’ แต่ทั้งหมดนั้นผิดหมด เพราะเบื้องหลังการลงมือทำเรื่องท้าทายเช่นนี้ กลับมาเติมเต็มให้วิญญาณความเป็นนักบริหารความเสี่ยงในอาณาจักรธุรกิจของเขามีความแม่นยำ มีแผนสำรอง รู้ทางแก้ไขกับวิกฤติการณ์เฉพาะหน้า ไม่ได้โลดโผนตามแต่อารมณ์จะพาไป ทั้งหมดอัดแน่นไปด้วยความเข้าใจธรรมชาติและเยื่อใยความเข้าใจในตัวเอง 
พูดง่ายๆ ว่า ‘ขอบ’ ที่เอกสนใจจะก้าวผ่านจากการออกไปผจญภัยนั้น มันมักมาถ่าง ‘ขอบหรือกรอบ’ 
ถ้าคุณมองเห็นบางขอบที่กั้นหรือขังคุณอยู่ ลองอ่านเรื่องของ เอก-ธนาธร และขอบของเขา
คลิปสัมภาษณ์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
Part I : The Extreme Adventure
GM : คุณได้ประกาศว่าให้เวลา 2 ปีกับการเตรียมไป South Pole ขั้วโลกใต้ 
ธนาธร : ใช่…ถ้าคนอื่นทำได้ เราน่าจะทำได้ การเดินทางที่ผมเตรียมไว้ จะไม่มีการช่วยเหลือจากภายนอก การเดินทางภายในขั้วโลกมีหลายชนิด เช่น การใช้สุนัขลากเลื่อน เครื่องยนต์ติดล้อ หรือมีเฮลิคอปเตอร์บินเอาสัมภาระมาทิ้งให้ตามจุดต่างๆ แต่ของ True South ที่ผมออกแบบโปรแกรมไว้ พูดในภาษานักผจญภัยได้ว่า เป็นการเดินทางแบบ ‘Unsupported’ พวกเราจะนำสัมภาระ อาหาร ติดตัวเดินทางไปด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ละคนต้องลากเลื่อนหรือ Sled ไปเองประมาณ 100 กิโลกรัม ความยาวระยะทางประมาณ 1,200-1,300 กิโลเมตร ในแต่ละวันต้องเดินเท้าลากเลื่อนวันละ 10 ชั่วโมง แต่เป็นแบบจากน้อยไปหามาก วันแรกเริ่มจาก 6 ชั่วโมง ค่อยๆ ไต่ไป 7-8 ชั่วโมง เพราะสัมภาระยังหนักอยู่ เก็บระยะทางที่ 5-7 กิโลเมตรก็ได้ตามเป้าแล้ว แต่พอผ่านสัปดาห์ที่ 1 ไป สัมภาระอาหาร เชื้อเพลิง เริ่มถูกใช้ถูกบริโภคไปเรื่อยๆ น้ำหนักติดตัวจะเบาลง การทำระยะทางต่อวันจะดีขึ้น    
GM : ตามแผนการเดินทางทริปนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ธนาธร : พฤศจิกายน 2018 จำเป็นต้องเตรียมตัวให้รัดกุมที่สุด นักผจญภัยคนหนึ่งที่เขาทำโปรเจ็กต์นี้สำเร็จ เขาฝึกซ้อมต่อเนื่องแรมปี ช่วงก่อนไป เขาใช้เวลาซ้อมสัปดาห์ละ 30 ชั่วโมง เดินลากยางรถยนต์ครั้งละ 7-8  ชั่วโมง ถือว่าโหดมาก ผมอยากเตรียมทีม ใช้เวลาฝึกซ้อมให้พร้อมที่สุดก่อนไป คัดเลือกนักผจญภัยคนที่สนใจ มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ ด่านแรก คือการวิ่ง 100 กิโลเมตร ด่านต่อมา คือสอบสัมภาษณ์ ด่านต่อๆ มา เกี่ยวกับการดำรงชีพในธรรมชาติให้ได้ มีเรื่องการใช้สกี การ Hiking และอีกหลายอย่าง เพื่อคัดเลือกนักผจญภัยไทยจำนวน 15 คน  
GM : ทีม True South Thailand จะเริ่มเดินจากจุดไหนที่ขั้วโลกใต้ 
ธนาธร : เราจะเดินทางไปจากชิลี เพื่อต่อเครื่องบินไปจุดที่เรียกว่า ‘Hercules Inlet’ การเดินในขั้วโลกใต้จะเริ่มนับจากบริเวณขอบทวีป จะเอาจุดไหนเลือกได้หมดเลย ผมเลือกจุดเริ่มต้นที่ Hercules Inlet ที่เลือกจุดนี้เพราะว่าเป็นตำแหน่งที่อยู่ไม่ไกลมากนักจากภูเขาที่ชื่อว่า ‘Vinson Massif’ ซึ่งภูเขาลูกนี้อยู่ในรายชื่อ 1 ใน 7 ของยอดเขาที่สูงที่สุดในแต่ละทวีปของโลกที่เรียกว่าการพิชิต Seven Summits 
ภูเขา Vinson Massif สูงราวๆ 4,800 เมตรเศษ (4,892 เมตร) ในเมื่อไหนๆ ไปแอนตาร์กติกาแล้ว ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทวีปที่ไปยากที่สุด ไกลที่สุด แพงที่สุด ผมไม่คิดว่าตัวเองจะไปขั้วโลกใต้ซ้ำ 2 ครั้งในชีวิตนี้ คิดว่าการเดินทางไปขั้วโลกใต้ คือการต่อเครื่องบินจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะอยู่ชิลี อาร์เจนตินา ทวีปอเมริกาใต้ คุณอยู่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ คุณต้องบินไปลงทวีปแอนตาร์กติกา ไหนไปแล้วครั้งนี้ผมวางแผนจะปีนขึ้น Vinson Massif ด้วยเลย เป็นภูเขาที่ไม่สูงเกินระดับ 6,000 เมตร ผมคิดว่าน่าจะให้โอกาสตัวเองได้ลองทำ หลังจากเดินทางในขั้วโลกใต้เสร็จสิ้น ก่อนกลับผมจะไปที่ภูเขาลูกนี้ แต่ผมประกาศไปแล้วว่า Vinson Massif ที่เพิ่มมาเป็นความสมัครใจของทีม True South Thailand อยากจะไปด้วยหรือไม่ไปก็ได้ 
GM : คุณน่าจะเคยผ่านตาเรื่องกฎ 95/5 ออกไปปีนเขาสูง 95% คือ ความเจ็บปวด Suffering ความสุขตอน Summit มีแค่ 5% คุณรับได้
ธนาธร : อยู่แล้วละ ลองไปถามนักปีนเขาที่ขึ้นไปเอเวอเรสต์ พวกเขาใช้เวลาไม่น้อยกว่า 8 สัปดาห์ อย่างต่ำต้องมี 2 เดือน ให้ผมเดานะ พอคุณไปถึงยอดหิมาลัย คุณยืนอยู่บนนั้นได้ไม่เกิน 2 นาที เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ 95/5 น้อยกว่านั้นอีก คุณลองคิดดูสิ คุณหายไปกับภูเขา 2 เดือน เพื่อแลกกับ 10 นาที หนาวก็หนาว ล้า หายใจแทบไม่ได้ ออกซิเจนบางเบา บนยอดเขาสูงมันมีความเป็นความตายอยู่ตลอดเวลา ไปถึงบนนั้นได้เพื่อกลับลงมา ถ่ายรูปได้แล้ว พอแล้ว แม่งจะตายเอา
GM : นั่นสิ แล้วคุณล่ะเลือกทำเรื่องพวกนี้ไปทำไม
ธนาธร : (กลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่) สำหรับคนอื่นผมไม่รู้ แต่เหตุผลที่ผมมีต่อเรื่องพวกนี้ แม่งชัด ผมอยากรู้ว่าไอ้เส้นของผมมันอยู่ตรงไหน เส้นที่กั้นผมกับขอบเหว ไหนเส้นที่เดินไปอีกก้าวจะตกขอบเหว ผมอยากไปถึงจุดตรงนั้น ชีวิตที่อยู่แค่อีกก้าวเดียวนั้น ผมอยากก้าวไปถึง Edge เท่าที่ตัวเองจะสามารถก้าวไปได้ใกล้มันมากที่สุด 
ผมสงสัย ทบทวน ค้นหา ต่อเรื่องพวกนี้เองมาหลายปีว่า Edge of Life หรือ ขอบ เส้นแบ่ง เส้นกั้นระหว่างความกล้าหาญ กับความบ้าคลั่งของผมเองอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ผมยังเดินไปได้อีกกี่ก้าว ถึงจะไปแตะขอบนั้น (นิ่งคิด) อีกเรื่องที่ผมจะไม่ลืมและตระหนักกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา คือ เส้นกั้นบางๆ ระหว่างความกล้าหาญกับความบ้าบิ่นของคนคนหนึ่งอยู่ที่ว่า ถ้าเขาลงมือก้าวข้ามขอบนั้นไปแล้ว เขาสามารถ Come home safely ได้ไหม นักผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ คือ คนที่ออกไปทำอะไรมาแล้ว กลับบ้านอย่างปลอดภัย นั่นคือหลักคิดก่อนผมจะก้าวข้ามขอบเหว ว่าจะไปต่อหรือไม่ไปต่อ
GM : จากพื้นเพที่คุณมี...ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว การงาน บริษัท ตำแหน่งบริหารองค์กร ดูเป็นชีวิตที่ไม่น่าไปเสี่ยงทำอะไรแบบนี้เท่าไหร่ 
ธนาธร : ไม่มีหรอกคุณ ฐานะ เงินทอง ตำแหน่งใหญ่โต พอคุณบอกว่าตัวเองเป็นนักผจญภัย แล้วพาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น On Ice รวยจน เท่ากันหมด ไม่สำคัญว่าชื่อบนนามบัตรคุณเป็นใคร มาจากไหน คนชาติอะไร ความหนาวเย็น ความสูงชัน ธรรมชาติ ทำให้คุณเป็นมนุษย์เท่ากันหมด สายตาที่คุณมองตัวเอง มองคนอื่น ไม่เหมือนเวลาอยู่บนพื้นราบ เพียงข้อเดียวที่จะทำให้คุณเอาตัวรอดได้ คือ คุณเตรียมตัวมาพร้อมแค่ไหน ร่างกาย จิตใจ ประสบการณ์ เครื่องมือและรายละเอียดที่คุณมีต่อสถานการณ์นี้เป็นอย่างไร ตรงนั้นต่างหากที่เป็นความเสี่ยง
ที่แท้จริง ถ้าพูดถึงความเสี่ยง เรื่องพวกนี้คือประเด็น ความเสี่ยง ไม่ใช่ว่าคุณเป็นซีอีโอ หรือว่าเป็นพนักงานขับรถไฟ คุณอยู่ตรงนั้นคุณเท่ากันหมด ธรรมชาติไม่ได้รู้จักว่า คุณเป็นซีอีโอ หิมะจะไม่ตกใส่คุณ ไม่ใช่ 
การเตรียมตัวเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าร่างกายคุณไม่ฟิต ตอนเดินลงเขานี้คุณตายเลย Going up is easy  นักปีนเขาที่ไปเอเวอเรสต์รู้กันดีว่า ความตายรออยู่ขาลง ถ้าไม่แข็งแรงไม่พร้อม นั่นแหละแช่ขาอีกข้างไว้กับหิมาลัยแล้ว ตอนลงต้องฟิตให้พอ 
ผมเป็นคนบริหารความเสี่ยงนะ การไปยืนตรง Edge มันทำให้เรารู้ว่าอีกก้าวควรจะกลับหรือควรจะไป ตรงนั้นสอนผม ผมเคยไปพายเรือคายัคออกอ่าวไทยจากพัทยาเพื่อไปหัวหิน ไปกับเพื่อน 2 คน ผมเอา Satellite Phone ไป 3 เครื่อง ถ้าเรือคว่ำกลางทะเล เราต้องรอด มีน้ำอาหารอยู่ได้ถึง 2 วัน ถ้าจะเอาเบา ไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องเสี่ยง เราจะเตรียมตัวเพื่อ 24 ชั่วโมงก็พอ แต่ผมเตรียมไว้ 48 ชั่วโมง ทำอะไรแบบนี้บ่อยครั้งเข้า เราจะเริ่มมีสัญชาตญาณต่อการเอาชีวิตรอด กลับกันถ้าไม่ทำเลย  ยิ่งคุณปล่อยให้ตัวเองสบายมากขึ้นเท่าไหร่ คุณยิ่งเลี้ยงความเสี่ยงให้เติบโตขึ้นเท่านั้น
GM : ทำอย่างไรให้เรารองรับความเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้ได้ดีล่ะ
ธนาธร : ยิ่งคุณอยากเป็นคนที่บริหารความเสี่ยงได้ดี สิ่งที่คุณต้องมี คือ ประสบการณ์ คุณต้องรู้จักตัวเอง ยอมรับกับตัวเองว่าคุณยังขาดอะไร มองไว้ติดลบก่อน เช่น ออกไปผจญภัยเดินป่า ปีนเขา พายคายัค ร่างกายคุณเป็นเบสที่สำคัญที่สุด คุณต้องฟิต ฝึกซ้อม ออกกำลังกายมีวินัย ทำมันบ่อยๆ ให้โอกาสไปเจอประสบการณ์ ยิ่งเจอมามากเท่าไหร่ คุณจะมองออกเองว่าขาดอะไร
GM : ที่คุณออกไปทำพวกนี้ติดต่อกันหลายปี มันคล้ายการออกไปจาริกแสวงบุญ Pilgrimage ใช่ไหม
ธนาธร : จะว่าอย่างนั้นก็ถูก อย่างเมื่อวาน ผมไปปีนเขาที่สระบุรี เขาไม่ได้สูงมากแต่ลูกนี้ไม่เคยมีใครปีนมาก่อน เจอหลายอย่างอุปสรรค ผมไปกับเพื่อนรุ่นพี่อีกคน มันเป็นการจารึกแสวงบุญในแบบของเรา เป็นการค้นหาตัวเองในแบบของเรา ไม่ใช่เป็นเรื่องทางศาสนา คำสอน แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ จิตวิญญาณ การเดินทางพบเห็นโลกภายนอก ทำไปเพื่อเข้าถึงโลกภายในของตัวเอง เรื่องพวกนี้ผมถูกถามอยู่เสมอว่าทำไปแล้วได้อะไร ช่วยอะไรกับชีวิตและงาน ผมบอกช่วยมาก ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก อย่างแรก คือ สุขภาพดีขึ้น เรื่องนี้ชัดเจน เมื่อก่อนผมใช้ร่างกายหนัก นอนหลับแล้วตื่นยาก กลไกการทำงานร่างกายภายในปั่นป่วน ระบบรวนไปหมด จมูกหายใจไม่โล่ง แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปหมด กินง่าย นอนง่าย ตื่นง่าย หายใจสะดวก แค่ได้ร่างกายแบบนี้กลับคืนมาก็มีผลต่อชีวิตและการทำงานมหาศาลแล้วคุณ 
นอกจากนั้น พวกทัศนคติการมองชีวิตเปลี่ยนไป ผมเป็นพวก Complain บ่นได้กับทุกเรื่อง บ่นได้ตลอดเวลา ไม่พอใจ แต่พอผมออกไปเดินทางกลับมา พบความยากลำบากสาหัสสากรรจ์พอสมควร พอกลับเข้าในชีวิตประจำวัน ผมกลายเป็นอีกคน Complain less Appreciate more ไม่มานั่งคอมเพลนชีวิต ไม่กลัวงาน เปลี่ยนกระทั่งผมมาเป็นคนชอบจัดบ้านเอง อะไรไม่เข้าที่ไม่เรียบร้อย ผมลงมือทำเอง 
GM : คุณเคยบอกว่าตัวเองไม่มีของสะสมเป็นวัตถุ แต่ให้คุณค่ากับของสะสมที่การเดินทาง
ธนาธร : ผมเป็นพวกไม่บ้ารถ ไม่บ้านาฬิกา เสื้อผ้าที่ใส่อย่างที่เห็นและจำเป็น ที่ผมมีเยอะก็พวกหนังสือปรัชญา ผมชอบอ่านหนังสือมาก ถ้าไม่ไปไหนทำอะไร ผมจะอ่านหนังสือเงียบๆ ที่ไม่มีของสะสมเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะข้าวของพวกนั้น พอคุณได้เป็นเจ้าของมันแล้ว มันจะมีแต่เสื่อมราคาลง ไปซื้อรถที่โชว์รูม วินาทีที่คุณเซ็นชื่อเป็นเจ้าของมัน รถคันนั้นกลายเป็นรถมือสองในท้องตลาด ทั้งที่มันยังจอดนิ่งในโชว์รูม ราคามันเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ประสบการณ์เดินทางการผจญภัย ทันทีที่คุณผ่านมันมาได้ คุณหันหลังกลับมาให้กับสถานที่ที่คุณเคยไป คุณค่ามันเกิดขึ้นทันที ประสบการณ์บางเรื่อง ยิ่งผ่านไปหลายปียิ่งมีราคา คุณย้อนกลับไปทำมันอีกไม่ได้แล้ว มันจะทำงาน
กับความคิดความอ่านของเรา ให้เราเข้าใจบางเรื่องไปเอง ผมเคยสมัครไปวิ่งงานชื่อ 6633 Ultra เป็นงานวิ่งระยะไกลที่พื้นผิวเป็นหิมะ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา เขานิยามให้เป็นสนามที่เวิ้งว้างและหนาวเย็นที่สุด ผมต้องลากเลื่อนวิ่งไปบนพื้นหิมะ ระยะทางทั้งหมด 566 กิโลเมตรที่ต้องเดินต้องวิ่งด้วยขาตัวเอง วิ่งอยู่คนเดียวนานเป็น 3-4 ชั่วโมง วิวข้างหน้าเหมือนเดิม มีแต่สีขาวโพลน ไม่เจอคนหรือว่าสิ่งมีชีวิตอะไร นานๆ จะมีคนผ่านมาที เป็นบริเวณที่เรียกว่า ‘Arctic Circle’ 
ก่อนไปผมคิดแบบโรแมนติกว่า เอาละ ในช่วงเวลาหลายวันที่ได้อยู่คนเดียว ไม่มีการติดต่อใดๆ จากโลกภายนอก ผมจะใช้เวลาคิดงาน วางแผนสะสางเรื่องโน้นนี้ ตื่นเช้ามาจะนั่งต้มกาแฟ ดูวิวภูเขา แต่อะไรรู้ไหม ผมไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้เลย แม้มีเวลามาก เพราะว่าอากาศที่นั่นหนาวจนแค่จะถอดถุงมือมาถ่ายรูปสักรูป ยังต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะอุณหภูมิติดลบ ทุกวันคิดว่าไปให้ถึงจุด Station ที่เขากำหนด ง่วงแล้วก็ล้มตัวนอนข้างทางริมหิมะ งัดของที่พามาประทังชีวิต 
ผมจบเรซนี้ได้สำเร็จ ประสบการณ์ที่ได้ไปเจอ ไปเห็นมา ครั้งนั้นมันยิ่งใหญ่ มันอยู่กับผม ไม่ได้มีใครเอาไปได้ ผมยังมีเรื่องพวกนี้บอกให้ลูกให้หลานฟังว่า เคยไปตรงนั้นตรงนี้ภูเขาลูกนั้นลูกนี้ พอเวลาผ่านไปเราจะยิ่ง Appreciate กับการเดินทางที่ผ่านมา
Part II : Life Beyond Destiny
GM : อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณไปถึงจุดของความเป็น Extreme Adventure
ธนาธร : จุดเริ่มต้นของผมนี่ตลกมาก คือหลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงาน แล้วช่วงนั้นไม่ออกกำลังกายเลย ผมเข้างานสังคม กินเหล้า สูบบุหรี่ตามเรื่องตามราว ตั้งแต่อายุ 20 กว่าจนถึง 30 ต้นๆ ใช้ชีวิตรุนแรงมาก จนอายุประมาณ 31 คือเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ผมเกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายอะไร แล้วมีวันหนึ่งนัดเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยไปเตะฟุตบอลกัน แล้วก็เตะครั้งแรกเลย เสร็จแล้วปวดหลังมาก แล้วก็ปวดไปนาน พอไปหาหมอ ปรากฏว่าหมอนรองกระดูกเคลื่อน ขยับไม่ได้ ลุกจากเตียงไม่ได้ ตั้งแต่นั้นก็เริ่มทำกายภาพบำบัด หมอก็แนะนำให้ไปขี่จักรยาน ให้สร้างกล้ามเนื้อคอ ให้ไปเล่นโยคะ หรืออะไรอีกหลายอย่าง ผมเริ่มจากจุดนั้น 
GM : เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
ธนาธร : ใช่ๆ มันสองสามเรื่องนะ หนึ่งก็คือ เรารู้จักศักยภาพของเราดีขึ้น คือผมคิดว่าหลายคนไม่เข้าใจว่า การมีความเชื่อมั่นตัวเองจากการตั้งเป้าหมายเชิงกายภาพ แล้วเราทำมันให้ได้ มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่นๆ เยอะมาก ผมยกตัวอย่าง ในโครงการ True South มีผู้สมัคร 200 กว่าคน แล้วก็มีผู้เข้ารอบสัมภาษณ์ ตอนช่วงที่สัมภาษณ์ผมเห็นเลยว่า นักกีฬาทุกคนที่ประสบความสำเร็จเวลามานั่งคุยหรือให้สัมภาษณ์ เขาจะมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเอง ผมเห็นได้เลยว่าการออกกำลังกาย การท้าทายตัวเอง มันส่งผลกับบุคลิก ส่งผลกับทัศนคติ คือทำให้มีบุคลิกและทัศนคติที่ดีขึ้น มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ทุกอย่างเห็นชัด รวมทั้งตัวผมเองด้วย 
ในทุกๆ ปี หรือทุกๆ ครั้ง ผมจะตั้งเป้าหมายใหม่ เช่น วิ่งให้ไกลขึ้น จาก 50 กิโลเมตรเป็น 100, 300 หรือ 500 กิโลเมตร ไปเรื่อยๆ แต่เราก็รู้สึกว่าการวิ่งไกลขึ้น มันอาจจะทดสอบความอดทน แต่ไม่ได้ทดสอบจิตใจเรามากขึ้น ผมก็จะเปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการปีนภูเขา ซึ่งมันก็คืออีกโลกหนึ่ง แน่นอนว่าพื้นฐานของการปีนเขา คือความพร้อม ความทรหด และความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ที่มากกว่านั้นคือ มันพาตัวเราให้เข้าใกล้หน้าผามากขึ้น ไปยังจุดที่ก้าวอีกก้าวเดียวมันจะตกลงไป ผมอยากไปยืนอยู่ตรงจุดนั้น จุดที่มันติดขอบหน้าผามากที่สุดจริงๆ 
ผมคิดว่า เมื่อเราพูดถึงการผจญภัย มันคือการเดินทางที่คุณไม่รู้ผลลัพธ์ สมมุติคุณไปพระโขนง คุณขึ้นรถไฟฟ้าไป มันรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่การผจญภัย แต่สมมุติคุณเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ แล้วคุณต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปพระโขนงมันอาจจะเป็นการผจญภัยเล็กๆ ของคุณก็ได้ แล้วสิ่งที่สนุกก็คือ คุณต้องเจอปัญหา แล้วคุณก็แก้ปัญหาตลอดเวลา และการแก้ปัญหาที่พบในการผจญภัย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่คุณไม่เคยเจอ ไม่เคยแก้มาก่อน แล้วพอคุณไปแก้ มันท้าทายตัวเราเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ การเตรียมการ ทักษะไหวพริบ แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะส่งผลสะท้อนกลับมาในชีวิตจริงของเราว่า เมื่อเจอปัญหาคุณเลิกบ่น คุณเลิกโทษคนอื่น คุณเลิกคิดว่าทำไม่ได้ ความคิดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มันหายไปเลย
GM : ต่างกันไหมระหว่างผจญภัยในเมือง กับการผจญภัยในธรรมชาติ และบางทีอาจเป็นธรรมชาติที่เหี้ยมโหดด้วย 
ธนาธร : ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในแนวรถไฟฟ้า คุณไม่ได้ออกไปเจอโลก ไม่ได้ออกไปเจอผู้คนที่ต่างชนชั้นวรรณะ ไม่ได้ออกไปเจอผู้คนที่มีวัฒนธรรมอื่น ผมว่าชีวิตแบบนี้ มันไม่เปิดโอกาสให้เรียนรู้ มันไม่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจโลก เรามีชีวิตเดียวก็ควรจะเรียนรู้ให้เต็มที่ แล้ววิธีที่จะเรียนรู้ให้เต็มที่ก็คือคบเพื่อนที่มีฐานะต่างจากคุณ เพื่อนที่มีพื้นฐานการเติบโตหรืออายุต่างจากคุณ ผมว่านี่คือรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปิดกว้าง ที่เราควรจะส่งเสริม
GM : นอกเหนือจากการผจญภัยที่เปลี่ยนชีวิตแล้ว มีหนังสือเล่มไหนที่เปลี่ยนชีวิตเราบ้าง
ธนาธร : หนังสือที่ชอบอ่านมีเยอะมาก ถ้าให้ยกตัวอย่างนี่ จริงๆ Game of Thrones ผมก็ชอบมากนะ ผมอ่านหนังสือชุดนี้ก่อนที่ผมจะดูทีวีซีรีส์ ตอนที่ผมอ่านนี้ เล่มมันหนามากแล้วก็เป็นภาษาอังกฤษ เพราะตอนนั้นภาษาไทยยังไม่ได้แปล ผมใช้เวลาอ่านเป็นอาทิตย์ ทำงานเสร็จกลับมาก็นั่งอ่าน Game of Thrones นี่สนุก ตื่นเต้น มีหลายมิติมาก และไม่ได้เป็นแค่ความบันเทิง แต่ก็ไม่ใช่หนังสือเล่มที่เปลี่ยนชีวิต 
ถ้าพูดถึงหนังสือที่ทำให้เห็นโลก ยกตัวอย่างเช่น A Thousand Splendid Suns และ The Kite Runner ของ  Khaled Hosseini แล้วก็เล่มล่าสุดของเขา คือ And the Mountains Echoed ทั้ง 3 เล่มนี้ บอกเลยว่าทุกเล่มผมอ่านแล้วร้องไห้ มันเศร้ามาก อย่าง A Thousand Splendid Suns เป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้บริบทของสงครามกลางเมือง ถ้าผมจำไม่ผิด คือในอัฟกานิสถาน เป็นเรื่องของครอบครัวชาวมุสลิมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เขามีภรรยา 2 คน ตอนแรกภรรยาคนแรกกับภรรยาคนที่สองเกลียดกัน ตอนหลังกลายเป็นพวกเดียวกัน แต่ภรรยาคนที่สองมักโดนทำร้าย ลูกโดนทำร้าย ไม่มีอนาคตสำหรับครอบครัว เธอจึงตัดสินใจฆ่าสามีตัวเอง ภรรยาคนแรกรักภรรยาคนที่สอง และรักลูกของภรรยาคนที่สองมากเสียจนบอกตำรวจว่า เธอเป็นคนฆ่าเอง เพื่อที่จะให้ภรรยาคนที่สองได้มีชีวิตต่อไปอย่างสวยงาม มันเป็นเรื่องราวของการเสียสละที่สวยงามมาก 
หรืออย่างเล่ม The Book Thief (เขียนโดย Markus Zusak) ผมก็ทั้งร้องไห้และหัวเราะ เป็นเรื่องราวที่สวยงามและครบรสมาก เรื่องนี้ผมยังไม่เห็นแปลเป็นภาษาไทยนะ แต่ถ้าผมต้องแนะนำหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 สักเล่มหนึ่งให้แก่เยาวชนเพื่อเรียนรู้ถึงความลำบาก และเข้าใจถึงวิธีการมองโลกของเด็ก ผ่านมุมมองของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ผมว่า The Book Thief นี่เป็นหนังสือที่ควรจะต้องอ่าน
GM : ดูจากหนังสือที่ยกตัวอย่างมา ถือว่าผิดคาดพอสมควร เข้าใจว่าคุณน่าจะพูดถึงหนังสือทางด้านสังคมศาสตร์หรืออะไรประมาณนี้มากกว่า
ธนาธร : พวกนั้นก็อ่านนะครับ แต่พวกนั้นมันจะเป็นหนังสือหนักๆ มากกว่าที่จะเป็นนวนิยาย จริงๆ หนังสือหนักๆ ก็อ่าน แต่ว่าต้องเรียนตามตรงว่า เวลามันมี 24 ชั่วโมง ซึ่งจำกัดมาก นอกจากให้งาน ครอบครัว เพื่อนฝูงแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ออกไปข้างนอกเยอะขึ้น ช่วง 2-3 ปีหลัง ก็อ่านหนังสือน้อยลงไปเยอะ อย่างเล่มล่าสุด ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมจะอ่านจบเมื่อไหร่ แต่เล่มต่อไปที่จะอ่านเลยก็คือรัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้ คือผมอ่านมาตั้งแต่ฉบับ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 อ่านจบทั้งเล่ม ฉบับ พ.ศ. 2560 ยังไม่ได้อ่าน แต่ว่าอยู่ในแพลน...
ผมคิดว่าโครงสร้างที่มีอยู่ในสังคมไทยโดยภาพรวม ไม่เอื้อให้เกิดจินตนาการ หรือการเติบโตของคนรุ่นใหม่ที่จะเท่าทัน เศรษฐกิจแบบดิจิทัล ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณลองไปซื้อนิทานที่เขียนโดยคนไทย กับนิทานที่เขียนโดยฝรั่ง สุ่มหยิบมาอย่างละสิบเล่มแล้วเทียบกัน คุณจะพบว่า สิบเล่มของนิทานภาษาไทย จะสอนเรื่อง คุณธรรม ซื่อสัตย์ เคารพผู้ใหญ่ อ่อนน้อม นี่คือค่านิยมที่จะอยู่ในนิทานสิบเล่มของไทย ร้อยทั้งร้อยจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าไปอ่านนิทานสำหรับเด็กของต่างประเทศ เขาจะเน้นไปที่จินตนาการ ความสนุกสนานของเด็ก จะเห็นว่านิทานของไทยกับต่างประเทศแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน 
นิทานที่คนไทยอ่านคือนิทานที่ปลูกฝังค่านิยมที่ไม่เหมาะสมต่อการพาประเทศไปสู่อนาคต ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่สะท้อนความสิ้นหวังของอนาคตของสังคมไทย เพราะจริงๆ แล้ว จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิพากษ์ เป็นสิ่งที่เราควรปลูกฝังให้กับเด็กๆ แต่สิ่งที่ประเทศไทยสอนให้กับเยาวชนของเรา คือกรอบ คุณสอบกรอบทุกอย่าง ตั้งแต่ทรงผม ชุดนักเรียน การเกณฑ์ทหาร การอยู่ในโอวาทของผู้ใหญ่ หรือการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ทุกอย่างคือกรอบทั้งหมด ซึ่งถ้าบอกว่าเรากำลังพูดถึง Thailand 4.0 เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรืออะไรก็แล้วแต่ โดยที่ไม่ได้พูดถึงวัฒนธรรมที่มันฝังรากอยู่ในสังคมไทย การพูดเรื่องเหล่านั้น มันก็ไม่มีความหมาย 
GM : โดยตัวคุณเองมีบุคลิกลักษณะที่สุดขอบสุดขั้ว แต่คุณก็ยังเป็นผลผลิตของสังคมไทย แล้วคุณคิดนอกกรอบได้อย่างไร มีความขบถได้อย่างไร หรือมาจากประสบการณ์ในต่างแดน
ธนาธร : ผมว่าการที่มีลักษณะขบถ มันมีมาตั้งแต่ตอนก่อนไปศึกษาต่างประเทศ และผมส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีลักษณะขบถด้วยนะ ถ้าถามว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมก็อธิบายตัวเองไม่ได้ แต่ผมคิดว่ามันสามารถทำได้ อย่างเช่น คุณสามารถที่จะแพ็คกระเป๋าโดยไม่มีจุดหมายไปถึงหัวลำโพง ขึ้นรถไฟขบวนไหนก็ได้ที่อยู่ชานชาลาเบอร์ 4 แล้วไปให้สุดทาง เดินทางโดยไม่ต้องมีจุดหมายเพื่อไปดูโลก ถ้าสมมุติมีทางให้เลือก มีทางที่ยากกับง่าย ทางเป็นปูนซีเมนต์กับทางที่เป็นป่าเขา แต่ไปถึงจุดหมายเดียวกัน ก็เลือกทางป่าเขา เลือกทางที่ยาก คือถ้าเราอยากจะสร้างจิตสำนึกแบบนี้ เราก็ต้องสร้างมัน
GM : สร้างจิตสำนึก สร้างการเรียนรู้ ฟังดูแล้วโรแมนติกนิดๆ
ธนาธร : นักปฏิวัติต้องโรแมนติกทุกคน

ยังมีต่อ.....

เรื่อง : มนตรี บุญสัตย์, อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม
นิตยสาร GM ฉบับเดือนพฤษภาคม 2560


ที่มา : GM Live


EmoticonEmoticon

ที่ดินทรัพย์สินส่วนสาธารณประโยชน์ และที่ดินกว่า 2600 ไร่ ขุมทรัพย์หลายแสนล้าน กลางกรุง!

ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สิน ฯ มีที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,060,000 ตารางวา หรือ 2,650 ไร่ โดยที่ดินผืนใหญ่ที่สุด 300 ไร่อยู...

กลับไปหน้าแรก