วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต: ประวัติศาสตร์ปลอมที่ถูกสร้างใหม่ โดย ขุนวิจิตรมาตรา

ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)ผู้สร้างประวัติศาสตร์ปลอม เรื่อง คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต

 ราว 2 ปีต่อมา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2523 ตีพิมพ์ถ้อยคำของ ขุนวิจิตรฯ ถึงประเด็นอันน่าเคลือบแคลงนี้ ซึ่งท่านอ้างว่าไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่ได้มาจากหมอวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ผู้เขียน The Thai Race-The Elder Brother of Chinese 


"ผมเขียนตามของหมอดอดด์ เขาว่างั้นนะ ไม่ใช่ผมมาเม้คขึ้นเองเมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ผมไม่รู้หรอก ว่าจริงหรือไม่จริง" ขุนวิจิตรฯ ในวัย 83 ปี กล่าวกับคณะทำงานนิตยสารศิลปวัฒนธรรมซึ่งเดินทางไปพบที่บ้านบนถนนวิภาวดีรังสิต---และนั่นคือเวลากว่า 30 ปีมาแล้ว


เทือกเขาอัลไต อยู่ในเอเชียกลาง บริเวณพรมแดนร่วม
ของประเทศรัสเซีย, จีน, มองโกเลีย, และคาซัคสถาน 
ห่างไกลจากดินแดนไทยปัจจุบันมาก


อัลไต (Altay) หมายถึง เทือกเขาแห่งทองคำ มาจากรากศัพท์ Al (ทองคำ) และ tau (ภูเขา) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำว่า ไต หรือ ไท ซึ่งเป็นชื่อชนชาติแต่อย่างใด ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้นิยมปีนเขา ภาพนี้คือเขาเบลูชา (Belucha) ส่วนหนึ่งของเทือกเขาอัลไต

แต่เมื่อเฟสบุ๊กแฟนเพจชื่อ ′เมด อิน อุษาคเนย์′ หยิบยกประเด็นนี้มาบอกเล่าโดยเป็นหนึ่งในหัวข้อ ′ประวัติศาสตร์ปลอม ที่คนไทย (เคย) ยอมรับ′ กลับมีผู้กดถูกใจ และแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นหลากหลาย 

กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้รู้ว่าแนวคิด ′คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต′ ยังอยู่ในความรับรู้ของคนจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ 

ประวัติศาสตร์ปลอมที่คนไทย (เคย) ยอมรับ

ข้อความที่ถูกโพสต์ลงเฟสบุ๊ก เมด อิน อุษาคเนย์ เมื่อช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2557 ราว 17.00 น. มีผู้อ่าน (หรือได้เห็นผ่านตา) ถึง 48,800 คน ในเวลาเพียง 2 วัน เนื้อหามีดังนี้

"รู้น่า! ว่าแนวคิดเรื่องคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตนั้นเก่ากึ๊ก และยอมรับกันแล้วว่ามันไม่จริ๊ง ไม่จริง แต่นี่คือหนึ่งในประวัติศาสตร์ปลอมสุดคลาสสิคที่ต้องหยิบยกมาเม้าท์กัน ว่าในอดีตนั้นเราเคยเชื่อเรื่องนี้ถึงขนาดมีบรรจุในแบบเรียนมานานนับปี ว่าคนไทยในสยามประเทศเรานี้หอบลูกจูงหลานมาจากเทือกเขาที่ชื่อว่าอัลไต ซึ่งก็นับว่าฟังเข้าที เพราะมันออกเสียง ไทๆ ไตๆ อิไต อิไต อะไรนี่ ดูเข้าเค้า 

กระทั่งมีคนขี้สงสัยตั้งคำถามว่า ไอ้เขาอิไต เอ้ย! อัลไตที่ว่านี้มันอยู่ไหนกันหว่า? พอสืบค้นไปมา ปรากฏว่าอยู่แถบเอเชียกลางนู่นแน่ะ แบบว่าเป็นช่วงพรมแดนร่วมของประเทศรัสเซีย จีน มองโกเลีย และคาซัคสถาน ที่ฮากว่านั้นคือ เคยมีคนพยายามเดินทางไปโดยสอบถามทางการรัสเซีย คำตอบที่ได้ชวนหงายเงิบ เพราะนอกจากที่นั่น จะไม่มีคนไท/ไตอาศัยอยู่แล้ว จากสภาพแวดล้อมทั้งปวงก็ไม่น่าจะเคยมีมนุษยชาติคนใดตั้งถิ่นฐานมาก่อน เพราะเป็นภูเขาน้ำแข็งอุณหภูมิติดลบยิ่งกว่าอยู่ในตู้แช่ปลา ซึ่งทางการรัสเซียเขาใช้เป็นสถานที่ติดตั้งสัญญาณเรดาร์อะไรสักอย่าง 

ว่าแต่ว่า---แนวคิดเรื่องคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต มาจากไหน?

อะแฮ่ม‚ขอบอกว่าเรื่องนี้เขามีที่มาที่ไป นั่นก็คือ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ท่านแต่งหนังสือชื่อ ′หลักไทย′ เล่าเรื่องนี้เป็นคุ้งเป็นแคว แต่ๆๆๆ แต่ก็โทษท่านไม่ได้ เพราะท่านแต่งเข้าประกวดในงานๆ หนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นตำรับตำราประวัติศาสตร์แต่อย่างใด เนื้อหาในหนังสือระบุประมาณว่า 

"เดิมชนชาติไทยเคยอาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไตเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่แล้ว ต่อมา ได้อพยพลงมายังแม่น้ำหวงเหอ เรียกว่า อาณาจักรไทยมุง หรืออาณาจักรไทยเมือง และได้อพยพลงมาอีกจนถึงลุ่มแม่น้ำแยงซี แต่ต่อมาได้เสียเมืองให้กับจีน จึงต้องอพยพลงมาทางใต้ต่อไป"

ทั้งนี้ เหตุที่ท่านเลือกเทือกเขาอัลไตในนิยาย เอ้ย! หนังสือของท่านก็เพราะชื่อมันไตๆ ไทๆ นั่นแหละ 

อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์หลายท่านได้โต้แย้งประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เจตนาปลอมของท่านขุน ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน อาทิ ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ที่แสดงความเห็นว่า ระยะทางจากเทือกเขาอัลไตถึงประเทศไทยอยู่ห่างกันมาก จึงไม่น่ารอด ชีวิตจากการเดินทางผ่านทะเลทรายโกบีได้---พูดง่ายๆ คือ จะพากันตายก่อนมาถึงแดนสยามนะจ๊ะ 

สรุปว่า หลังจากบรรจุในแบบเรียนอยู่เนิ่นนาน ปัจจุบันได้ยกเลิกแนวคิดนี้ไปแล้ว แต่ยังมีผู้นำแนวคิดที่ว่านี้มาใช้เป็นคำสแลงเสียดเย้ยกลุ่มอนุรักษนิยมที่ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ทำนองว่า "พวกนี้มาจากเทือกเขาอัลไต!!!"

คำสารภาพของขุนวิจิตรมาตรา

คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต เริ่มจากหนังสือหลักไทยของขุนวิจิตรามาตราได้รับพระราชทานรางวัลและประกาศนียบัตรวรรณคดีของราชบัณฑิตยสภา เมื่อ พ.ศ. 2471 

จนกระทั่งมีการบรรจุเนื้อหาเรื่องคนไทยมาจากภูเขาอัลไตลงในแบบเรียน ก็มีผู้ตั้งข้อสงสัยเรื่อยมา เพราะไม่มีหลักฐานอันน่าเชื่อถือ 

สุดท้าย แบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการตามหลักสูตรใน พ.ศ. 2521 ได้ระบุให้ยกเลิกแนวคิดนี้จากแบบเรียนเรื่องคนไทยอพยพจากเทือกเขาอัลไต 

ราว 2 ปีต่อมา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2523 ตีพิมพ์ถ้อยคำของ ขุนวิจิตรฯ ถึงประเด็นอันน่าเคลือบแคลงนี้ ซึ่งท่านอ้างว่าไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่ได้มาจากหมอวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ผู้เขียน The Thai Race-The Elder Brother of Chinese 

"ผมเขียนตามของหมอดอดด์ เขาว่างั้นนะ ไม่ใช่ผมมาเม้คขึ้นเองเมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ผมไม่รู้หรอก ว่าจริงหรือไม่จริง" ขุนวิจิตรฯ ในวัย 83 ปี กล่าวกับคณะทำงานนิตยสารศิลปวัฒนธรรมซึ่งเดินทางไปพบที่บ้านบนถนนวิภาวดีรังสิต---และนั่นคือเวลากว่า 30 ปีมาแล้ว

สรุป......

เป็น story เรื่องราว สมัย สร้างรัฐชาติ กับ เขาบ้าง ให้เหมือน ฝรั่ง 
ยุคล่าอนานิคม จนถึงยุค สร้างลัทธิชาตินิยม

โดยในช่วงนั้น มีคนแต่งประวัติชาติ ขึ้นมามากมาย โดยจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างลัทธิชาตินิยม

ถ้า มีนักประวัติศาสตร์ ที่เขาศึกษา ค้นคว้าข้อมูล 
บอกว่า ศิลาจารึกพ่อขุนราม หลักที่ 1 เป็นของปลอม สลักมาในสมัย ร.4 เพื่อประโยชน์ทางการเมืองยุคล่าอนานิคม

ชาวบ้านบางระจันทร์ นายจันทร์หนวดเขี้ยว ขุนสัน พันเรือง นายทองเหม็น ไม่มีอยู่จริง
ไทย ก็ไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน เผาทำลายบ้านเมืองคนอื่น ทั้งลาว เขมร มอญ เชียงใหม่

พวกเราพร้อมที่จะเปลี่ยน ความเชื่อทางประวัติศาสตร์ กันไหม


หมายเหตุ:   ผู้แต่งคำร้องเพลงชาติในทำนองของพระเจนดุริยางค์คนแรก ก็คือ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ซึ่งแต่งเนื้อร้องไว้ว่า
       
       แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
       ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
       สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา
       ร่วมรักษาเอกราชชนชาติไทย
       บางสมัยศัตรูมาจู่รบ
       ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่
       ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไทย
       สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
       อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย
       น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
       เอกราชคือกระดูกที่บูชา
       เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
       ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสระเสรี
       ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
       เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย
       สถาปนาสยามให้เชิดชัยชโย


EmoticonEmoticon

ที่ดินทรัพย์สินส่วนสาธารณประโยชน์ และที่ดินกว่า 2600 ไร่ ขุมทรัพย์หลายแสนล้าน กลางกรุง!

ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สิน ฯ มีที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,060,000 ตารางวา หรือ 2,650 ไร่ โดยที่ดินผืนใหญ่ที่สุด 300 ไร่อยู...

กลับไปหน้าแรก