“—ธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนเป็นเดิน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมและกราบไหว้นั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นก้มศีรษะ—”
เพราะ.....คำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวตะวันตกอันเนื่องมาจากแนวคิดที่ต่างกัน ทำให้ชาวตะวันตกวิจารณ์ว่า........
".......การหมอบกราบเป็นการกระทำที่กดขี่เหยียบย่ำมนุษย์ด้วยกัน...เช่น วิธีที่บรรดาคนรับใช้ปฏิบัติต่อเสนาบดีดุจทาสนั้น เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งเป็นการเหยียบย่ำมนุษยชาติด้วยกันเอง ตลอดระยะเวลาการเข้าพบเสนาบดีนั้น พวกเขาทั้งหมอบราบกับพื้นเบื้องหน้าเสนาบดีในระยะห่าง ในขณะที่พูดกับเสนาบดีนั้น พวกเขาไม่กล้ามองสบตาเสนาบดี......หัวหน้าผู้เย่อหยิ่งผู้นี้ ซึ่งมีตำแหน่งเสนาบดีลำดับที่ ๕ ตามความสำคัญ ยังต้องหมอบคลานเยี่ยงสัตว์......."
ที่มาของการหมอบกราบ......
สยามได้รับอิทธิพลความเชื่อเรื่องสมมติเทพมาจากเขมร เป็นการปกครองที่มีความเชื่อว่าปกครองโดยเทพเจ้า คือพระมหากษัตริย์ทรงมีสิทธิ์ขาดในการบริหารบ้านเมืองแต่เพียงพระองค์เดียว พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ทรงปฏิบัติพระองค์ให้ราษฎรเชื่อว่าทรงเป็นเทพจุติมาด้วยการสร้างพิธีรีตองต่างๆ ขึ้นมารองรับฐานะของพระองค์
ความเชื่อดังกล่าวถูกตอกย้ำให้ลึกซึ้งมั่นคงขึ้น เมื่อผู้ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดในตำแหน่งที่เรียกกันว่า พราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ได้กำหนดวัตรปฏิบัติพระองค์ของพระมหากษัตริย์ให้แตกต่างจากสามัญชนคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่เรียกว่าราชาศัพท์
พิธีกรรมต่างๆ ที่เรียกว่าพระราชพิธี นั้นก็ถูกประดิษฐ์คิดขึ้นเพื่อให้ได้ผลทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี จังหวะ เสียงร้อง เนื้อร้อง ในการปฏิบัติแต่ละพระราชพิธี แม้จะต่างกัน แต่ก็ให้ความรู้สึกเดียวกันคือ ความเข้มขลังผสมผสานกับความน่าสะพรึงกลัว
ในเวลาเดียวกันก็สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ร่วมพิธีให้โอนอ่อนเกิดความศรัทธาเชื่อมั่นว่าพระราชพิธีนั้นๆ เป็นพิธีปฏิบัติของเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ซึ่งจะนำมาหรือบันดาลสิ่งอันเป็นมงคลกับชีวิตของผู้คนและบ้านเมือง จึงยิ่งทวีคูณความเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ดุจว่าทรงเป็นเทพเจ้า
ด้วยเหตุดังกล่าวการปฏิบัติตัวของสามัญชนเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้าจึงต้องแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเคารพเทิดทูนและอ่อนน้อมอย่างที่สุด การแสดงออกอย่างหนึ่งคือการต้องหมอบคลานก้มหน้า เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์หรือการเข้าเฝ้า ความนอบน้อมนั้นเลยไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย
เป็นพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ตรัสต่อที่ประชุมมหาสมาคมหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา เป็นการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมครั้งใหญ่ คือ เปลี่ยนจากการหมอบคลานเข้าเฝ้าหรืออยู่เฉพาะพระพักตร์มาเป็นการยืนโค้งศีรษะตามแบบอารยประเทศ
ธรรมเนียมหมอบคลานต่อพระพักตร์พระมหากษัตริย์หรือต่อหน้าพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า พระมหากษัตริย์คือเทพเจ้าที่จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือปราบยุคเข็ญ ปกป้องภัยอันตราย และบันดาลความสุขให้มนุษย์ จึงถือกันว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ในสมัยสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อกับลูก ราษฎรนับถือผู้ปกครองดุจบิดาเรียกว่าพ่อขุน พ่อขุนปกครองราษฎรประดุจดูแลบุตร ครั้นถึงสมัยอยุธยา สยามได้รับอิทธิพลความเชื่อเรื่องสมมติเทพมาจากเขมร การปกครองจึงเปลี่ยนเป็นการปกครองที่มีความเชื่อว่าปกครองโดยเทพเจ้า คือพระมหากษัตริย์ทรงมีสิทธิ์ขาดในการบริหารบ้านเมืองแต่เพียงพระองค์เดียว พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ทรงปฏิบัติพระองค์ให้ราษฎรเชื่อว่าทรงเป็นเทพจุติมาเพื่อปกป้องคุ้มครองคนไทยและผืนแผ่นดินไทยด้วยการสร้างพิธีรีตองต่างๆ ขึ้นมารองรับฐานะของพระองค์
ด้วยพระปรีชาสามารถในอันที่จะปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายจากข้าศึกศัตรูที่มารุกรานแย่งที่ทำกิน แล้วยังทรงรักษาพระราชอาณาเขตให้มั่นคง ขยายให้กว้างขวางออกไป ในเวลาสงบสุขก็ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง เมื่อใดที่เกิดปัญหาไม่ว่าจะน้อยใหญ่ ตั้งแต่เรื่องทะเลาะวิวาทจนถึงเรื่องการคิดกบฏล้มล้างราชบัลลังก์ ก็ทรงสามารถแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยพระบารมีและพระสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวเหนือคนส่วนใหญ่ ประกอบกับพระคุณสมบัติพิเศษ คือ มีทั้งพระเมตตา ความยุติธรรม ความเด็ดขาด และความกล้าหาญ พระองค์จึงทรงเป็นทั้งที่รักที่เคารพถึงขั้นเทิดทูนบูชาและเป็นที่เกรงกลัวของผู้ทำผิดคิดร้าย พระจริยวัตรดังกล่าว กล่าวกันว่าคือพระจริยวัตรของเทพเจ้าอย่างแท้จริง ยิ่งเพิ่มความเชื่อให้ฝังลึกลงในจิตใจเป็นทวีคูณ และได้ถ่ายทอดความเชื่อนั้นสู่ลูกหลานสืบมา ความเชื่อดังกล่าวถูกตอกย้ำให้ลึกซึ้งมั่นคงขึ้น เมื่อผู้ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดในตำแหน่งที่เรียกกันว่า พราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ได้กำหนดวัตรปฏิบัติพระองค์ของพระมหากษัตริย์ให้แตกต่างจากสามัญชนคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่เรียกว่าราชาศัพท์ พิธีกรรมต่างๆ ที่เรียกว่าพระราชพิธี นั้นก็ถูกประดิษฐ์คิดขึ้นอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี จังหวะ เสียงร้อง เนื้อร้อง ในการปฏิบัติแต่ละพระราชพิธี แม้จะต่างกัน แต่ก็ให้ความรู้สึกเดียวกันคือ ความเข้มขลังผสมผสานกับความน่าสะพรึงกลัว ในเวลาเดียวกันก็สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ร่วมพิธีให้โอนอ่อนเกิดความศรัทธาเชื่อมั่นว่าพระราชพิธีนั้นๆ เป็นพิธีปฏิบัติของเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ซึ่งจะนำมาหรือบันดาลสิ่งอันเป็นมงคลกับชีวิตของผู้คนและบ้านเมือง จึงยิ่งทวีคูณความเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ดุจว่าทรงเป็นเทพเจ้า ด้วยเหตุดังกล่าวการปฏิบัติตัวของสามัญชนเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้าจึงต้องแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเคารพเทิดทูนและอ่อนน้อมอย่างที่สุด การแสดงออกอย่างหนึ่งคือการต้องหมอบคลานก้มหน้า เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์หรือการเข้าเฝ้า ความนอบน้อมนั้นเลยไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แม้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจะทรงเคยเป็นสามัญชนมาก่อน แต่เพราะทรงมีทั้งพระปรีชาสามารถในการปราบยุคเข็ญของบ้านเมือง นำพาบ้านเมืองให้เข้าสู่ความสงบสุข ปกป้องราชอาณาจักรให้พ้นจากภัยสงคราม ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งก็คือพระจริยวัตรปฏิบัติพระองค์ของเทพเจ้าโดยแท้ จึงเชื่อมั่นได้ว่าพระองค์คือเทพจุติมาเพื่อปราบยุคเข็ญและช่วยบ้านเมืองให้พ้นภัยอันตราย
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการที่ทรงเปิดประเทศคบค้าสมาคมกับชาวตะวันตก ทำให้ทรงมองเห็นความแตกต่างของแนวคิด ขนบประเพณีระหว่างชาวตะวันออกและตะวันตก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีน้ำพระทัยกว้างขวาง พระราชดำริกว้างไกล ทรงยอมรับในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ของชาวตะวันตกมาใช้ อันได้แก่ความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่บางประการ แต่สิ่งหนึ่งที่ทรงวางแนวทาง และส่งต่อแนวคิดนี้ให้พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมาดำเนินการสานต่อ คือ การปรับปรุงบางสิ่งและเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยไม่ยึดติดกับของเก่าหากจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง โดยเฉพาะขนบธรรมเนียมที่บั่นทอนความเชื่อถือที่ชาวตะวันตกจะมีต่อสยาม อันอาจจะเป็นมูลเหตุนำไปสู่ปัญหาที่จะเกิดกับชาวตะวันตกซึ่งเป็นชาติที่มีอานุภาพเหนือสยามทั้งกำลังพล กำลังอาวุธ และกำลังยานพาหนะ
ธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวตะวันตกอันเนื่องมาจากแนวคิดที่ต่างกัน ทำให้ชาวตะวันตกวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่กดขี่เหยียบย่ำมนุษย์ด้วยกัน นั่นคือธรรมเนียมการหมอบคลานของบรรดาข้าทาสบริวารที่ปฏิบัติต่อบรรดาเจ้านายของตน ดังปรากฏในคำวิจารณ์ของชาวตะวันตกที่มีโอกาสเข้ามาติดต่อกับชาวสยามในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เช่น มิสเตอร์ฟินเลสัน (Mr. Finlayson) หนึ่งในคณะทูตของ จอห์น ครอว์เฟิร์ด บันทึกวิจารณ์ไว้ว่า “—วิธีที่บรรดาคนรับใช้ปฏิบัติต่อเสนาบดีดุจทาสนั้น เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งเป็นการเหยียบย่ำมนุษยชาติด้วยกันเอง ตลอดระยะเวลาการเข้าพบเสนาบดีนั้น พวกเขาทั้งหมอบราบกับพื้นเบื้องหน้าเสนาบดีในระยะห่าง ในขณะที่พูดกับเสนาบดีนั้น พวกเขาไม่กล้ามองสบตาเสนาบดี—” และยังบันทึกถึงเรื่องนี้อีกหลายตอน เช่น “—ในการนำเครื่องดื่มออกมารับรองแขกเมืองนั้น บรรดาผู้รับใช้คลานขึ้นไปข้างหน้าโดยข้อศอกและนิ้วเท้ายันตัวเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ในลักษณะเช่นนี้ พวกเขาผลักจานไปข้างหน้าเป็นระยะๆ ด้วยท่าทีอันเกิดจากการถูกบังคับเยี่ยงสัตว์—”และ “—หัวหน้าผู้เย่อหยิ่งผู้นี้ ซึ่งมีตำแหน่งเสนาบดีลำดับที่ ๕ ตามความสำคัญ ยังต้องหมอบคลานเยี่ยงสัตว์ เมื่อไปเข้าเฝ้า Chromachit ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ทุกคนในประเทศนี้ต้องหมอบคลานเมื่ออยู่เบื้องหน้าเจ้านายผู้บังคับบัญชาประชาชาติทั้งมวล เป็นทาสของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งทรงจัดการชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาตามพระราชอัธยาศัย—” และ จอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Crawfurd) บรรยายการเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินไว้ว่า “—นอกจากทางแคบๆ ที่เหลือเป็นทางเดินสำหรับทูตและคณะผู้ติดตามแล้ว พื้นท้องพระโรงทั้งหมดเต็มไปด้วยผู้คนที่หมอบราบอยู่กับพื้น ศีรษะของพวกเขาก้มต่ำลงจรดพื้นหันไปทางบัลลังก์ มือของพวกเขาเท่านั้นที่ประสานกันอยู่เหนือศีรษะในท่าแสดงความจงรักภักดี มันเป็นความยำเกรงและการยกย่องสรรเสริญต่อพระเจ้ามากกว่าที่จะเป็นความเคารพนับถือที่แสดงต่อผู้ปกครองแผ่นดิน—” คำวิจารณ์เหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อการติดต่อคบค้าสมาคมกับชาวตะวันตก เพราะนโยบายสำคัญในการรักษาเอกราชของชาติของพระมหากษัตริย์ไทย คือ การพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ เพื่อมิให้ชาวตะวันตกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงการบริหารบ้านเมืองของไทย ทรงตระหนักพระทัยถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวตะวันตก เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมหมอบคลานอันแสดงถึงความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งชาวตะวันตกถือเป็นเรื่องสำคัญของเหล่ามนุษยชาติที่ทุกชีวิตจะต้องมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีเสมอกัน
ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นวันแรก จึงทรงประกาศยกเลิกธรรมเนียมการหมอบคลานว่า
“—ธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนเป็นเดิน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมและกราบไหว้นั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นก้มศีรษะ—”
ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม
EmoticonEmoticon