วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

เห็บสยามโมเดล

เรียนรู้การเมืองไทย ตอนที่ ๔๙
ตอน ว่าด้วยเห็บสยามโมเดล และชนชั้นกลางกำลังลงแดง
จากปรากฎการณ์ไร้ปัญญา ยอมรับ การใช้ "เห็บสยามโมเดล" ของชนชั้นนำทางเศรษฐกิจไทย อย่างปลัดกระทรวงการคลัง และ อาการลงแดง (สวิง)ต่อปรากฎการณ์การเสพ คสช.(ที่บ้าบอได้อย่างไม่น่าเชื่อ) เรื่องราวนี้ กำลังบอกอะไรให้แก่สังคมไทยโดยรวม
นี่คือการบอกกล่าวอย่างชัดเจน ถึงการไร้ทางออกต่ออนาคตของประเทศ จนยอมเป็นเห็บสยาม หรือ ยอมเสพ คสช.(ไม่ให้ลงแดง) ถึงจะรู้ว่าว่า มัน(คสช.) บ้าบอ ตลกบริโภค แบบไร้อนาคต แค่ไหนก็ตาม แต่ต้องเสพเพราะพวกเขากำลังลงแดง
นี่คือ อาการในช่วงท้ายก่อนการค้นหาทางออกทางปัญญาของประเทศนี้ หวังว่า อาการลงแดง น่าจะจบส้ินในเวลาไม่นานนัก และยอมหักดิบ เพื่อไม่ให้ลูกหลานของพวกเขาต้องใช้ "เห็บสยามโมเดล" ในการพัฒนาประเทศและอนาคตของพวกเขา ไปแบบไร้อนาคตต่อไป...
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ความรู้สึกกลัว ของชนชั้นกลาง
(ตัดตอนมาจาก Deep society ของ อ. เกษียณ)......
ความรู้สึกผม เหมือนเขากำลังลงแดงรอบสอง รอบแรกเมื่อ 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19 ลงแดงรอบแรกเพราะว่าหลักเสาประกันความมั่นคงเดิมถูกถอน คือ อเมริกา อเมริกาแพ้สงครามอินโดจีน เคยกอดอเมริกาไว้เป็นหลักประกันว่าคอมมิวนิสต์จะไม่เข้ามา เมื่อถอนเสาอเมริกาไปก็ว้าวุ่นต้องกอดอย่างอื่น มีความไม่มั่นคงสูงมาก อาการรักแบบเว่อร์ๆ ทั้งหลายของคนชั้นกลางนั้นก็เพราะรู้สึกไม่มั่นคง (insecure)
ผมมีความรู้สึกว่าปัญหาจิตวิทยาการเมืองของพวกเขาเยอะมาก ทำให้เขาคิดถึงความเป็นไปได้ทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง (unrealistic) ชอบนักเชียวที่จะย้อนไปก่อน 2475 หรือสมัย ร.5 หรือถวายพระราชอำนาจคืน อันที่จริง ถ้ารักสถาบันกษัตริย์ก็น่าจะเข้าใจว่าไม่ควรเสนอคำนี้ เพราะคำนี้น่ากลัวที่สุด ถวายพระราชอำนาจคืนเท่ากับถวายความรับผิดชอบคืนด้วย นโยบายต่างๆ นั้นผิดพลาดได้และถ้าผิดพลาดก็ไม่ได้ลงที่นายกฯ อีกต่อไป อันนี้แย่มาก พอคนชั้นกลาง insecure มากๆ ก็มีจินตนาการที่ฟุ้งเฟื่อง แทนที่คนชั้นกลางจะเป็นพลังให้กับเสถียรภาพ (stability) ให้กับการเมืองไทย กลายเป็นว่าคนชั้นกลางทำให้การเมืองไม่มี stability เพราะมีความคาดฝันทางการเมืองที่ unrealistic เต็มไปหมด
แล้วทำไมตอนพฤษภา 2535 หรือ 14 ตุลาก็ว่าบทบาทนักศึกษาปัญญาชนคนชั้นกลางต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยมีสูง
มันเป็นขาขึ้นของเขา มันอยู่ในช่วงที่เขาไปเบียดแทนที่ระบบราชการและกองทัพ ผมคิดถึง 14 ตุลา 16 ถึงพฤษภา 35 ผมคิดว่านี่เป็น power shift ครั้งที่สอง ซึ่งกินเวลา 15 ปี มันเริ่มที่ 14 ตุลา 16 แล้วมีหลายยกมาก 6 ตุลาก็เป็นยกหนึ่ง เข้าป่าก็เป็นยกหนึ่ง สู้กันหลายรูปแบบ แต่ไปจบในเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2535 โอเค established แล้ว นี่แหละการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภากระฎุมพี ซึ่งคนชั้นกลางใช้เป็นช่องทางทางอำนาจได้ แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้อำนาจกำลัง shift หลุดจากมือเขาไปสู่คนที่อยู่ข้างล่างกว่า แล้วเขาไม่รู้จะทำยังไง เขากลายเป็นปัจจัยของความไม่มีเสถียรภาพ (instability) ทางการเมือง ดังนั้น เขาจึงเดินแนวทางพุทธอิสระ เดินแนวทางสุเทพ เดินตามเส้นทางทางการเมืองที่หลุดโลก ตอนนี้เขากำลังลงแดงรอบสอง รอบแรกอเมริกาถอนตัวเขาหันไปกอดสถาบันหลักของชาติ ลงแดงรอบสองคราวนี้ คำถามคือจะให้กอดใคร
อย่างไรก็ตาม ปัญหาตอนนี้คือการจะสมานพลังนี้เข้ามาในข้อเรียกร้องทางการเมืองแบบไหนก็ตามเป็นเรื่องยากมาก เพราะเขามีข้อเรียกร้องที่ unrealistic มาก ไปก่อน 2475 เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้แล้ว
เขาอาจพูดไปอย่างนั้น เพราะเขาเกลียดทักษิณเฉย ๆ
ผมคิดว่าเขาไม่รู้ว่าเขาอยากได้อะไร เขาไม่มีจินตนาการทางการเมืองที่ realistic พอ จินตนาการที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน เป็นไปได้ในเมืองไทย เป็นไปได้ที่จะสามัคคีคนส่วนข้างมาก อันที่จริงเขาก็ไม่แคร์ด้วยซ้ำไป เขาไม่ได้อยากสามัคคีพวกต่างจังหวัด ในโหมดแบบนี้ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงได้ เขาก็คงแคร์เวลาที่มันเป็น human rights ของเขา แต่เขาไม่แคร์เวลาที่มันเป็น human rights ของคนอื่น
ที่น่ากลัวก็คือ พอคนชั้นกลางบอกว่า human rights มึงกูไม่สน เสื้อแดงหรือพลังประชาธิปไตยก็อาจบอกว่า human rights มึงกูก็ไม่สนเหมือนกัน แบบนี้ก็พัง ในความหมายนี้คือ เขาบ้าได้ แต่คุณบ้าตามเขาไม่ได้ ถึงแม้เราอยากบ้า
ปัญหาประชาธิปไตยที่ผ่านมาของไทยเอง เสียงข้างมากก็มีปัญหาการตรวจสอบ แล้วมันก็เกิดกระแสปฏิเสธเสียงข้างมากเลย เราควรหาทางออกอย่างไร
ดังนั้นทางออกของคณะร่างรัฐธรรมนูญทั้งหลายทำคือ จำกัดประชาธิปไตยลง แต่ข้อเสนอของผมกลับกันคือควรขยายประชาธิปไตยให้มากขึ้น คุณสู้กับเสียงข้างมากที่ abuse power ด้วยการขยายพื้นที่ประชาธิปไตยให้มากขึ้น เช่น สร้างกลไกการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชนทั้งหลายแหล่ให้มากขึ้น เรื่องสำคัญก็ทำประชามติ แทนที่จะให้ กปปส.ก่อม็อบ ทำไมเรื่องสำคัญแบบนี้ไม่ทำประชามติเสียแต่แรก คือ หากยอมรับว่ามีปัญหาว่า majority rule จะกลายเป็นทรราชย์ (tyranny) ได้ แต่วิธีป้องกันไม่ใช่การถอยไปสู่พื้นที่ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ต้องตรงกันข้ามคือขยายประชาธิปไตยให้กว้างขึ้น ซึ่งตรงนี้คนอย่างอาจารย์สิริพรรณ นกสวน สวัสดี แห่งรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หรือนักวิชาการท่านอื่นน่าจะรู้เรื่องดี เช่น เรื่อง primary vote เปิดพื้นที่การเมืองแล้ว invite คนให้เข้ามามากขึ้น ตัวแทนคุณมัน abuse คุณต้องคุมตัวแทนคุณ แต่ที่ผ่านมาคิดแต่ว่าจะลดประชาธิปไตย
ทำไมชนชั้นนำไม่เลือกแนวนั้น สู้กันในกติกาประชาธิปไตย
ก็เขาไม่ไว้ใจประชาชน ชนชั้นนำไทย เอาแบบเวอร์ชั่นที่มองดีที่สุดคือ เขาคิดเพื่อประชาชนจริง แต่ไม่ได้คิดว่าโดยประชาชน กูทำเพื่อพวกมึงนะ แต่อย่าทำโดยพวกมึงเองเลยเพราะพวกมึงยังไม่พร้อมสักที (หัวเราะ) เขาไม่ไว้ใจประชาชน ผมก็ไม่มีคำตอบว่าจะแก้ยังไง เขาไม่ไว้ใจประชาชนแต่อยากได้ความชอบธรรมจากประชาชน ประชามติเขาก็อยากให้ผ่าน ประชาชนเห็นด้วย ดีจัง (ตบมือ) อำนาจถึงจะยึดมา ตั้งคนร่างเอง แต่อย่างน้อยประชาชนก็เอาด้วย (หัวเราะ)
ที่ไม่ไว้ใจประชาชนเพราะประชาชนสู้ด้วยจำนวน ถ้าจะสู้กับเสียงข้างมากที่เขามองว่า tyranny ก็ต้องเล่นในเกมจำนวนอยู่ดี แล้วเขาจะเล่นเกมนี้ได้อย่างไร
อันนี้ผมก็ไม่มีคำตอบให้เขา เขาอาจต้องเปลี่ยนวิธีที่เขามองคน ไม่ดูถูกคน ผมไม่ได้คิดว่าประชาชนฉลาดโดยนามธรรม แต่ทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ ประชาชนก็พลาดได้ อาจจะเลือกผิดก็ได้ แต่ก็ได้แค่ 4 ปี
รัฐราชการกำลังใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ระบบราชการจะยังฟังก์ชั่น ขับเคลื่อนประเทศได้ในยุคสมัยนี้ไหม
ผมยังรู้สึกว่าในภาวะที่เขาจนตรอก คือ เขาไม่รู้ว่าจะหันไปหาพื้นฐานพลังอำนาจไหน ระเบียบอำนาจแบบไหนที่จะชดเชยทดแทนชั่วคราวได้ คสช.ก็เลือกพลังราชการ มันจึงเต็ม ครม. สนช.ไปหมด เราไปดูรัฐราชการมีปัญหาอะไร ปัญหาหลักคือ ความชอบธรรมทางการเมือง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนไม่ได้เลือกมาแล้วมีสิทธิอะไรมาใช้อำนาจนิติบัญัติ บริหาร ดังนั้น
1.ปัญหาความชอบธรรมจะเรื้อรังกับรัฐราชการตลอด
2.ทุกวันนี้สังคมไม่ได้อยู่ในสมัย 1960 ที่เป็นยุคทองของรัฐราชการแต่มันปี 2016 แล้ว คนคิดเองเป็น ระบบราชการจะทำตัวเป็นคนคิดแทนคนทั้งสังคมไม่ได้
คุณเองนั่นแหละปัญหาเต็มไปหมด ปัญหาเปรอะไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงคอร์รัปชั่น สังคมเปลี่ยนไปเยอะแล้วคุณกลับไปพึ่งพลังเก่า ซึ่งทุกวันนี้มีความสามารถในการปรับตัว มีพลวัตน้อยกว่าภาคเอกชนและภาคอื่นๆ เยอะแยะ คุณพึ่งพลังแบบนี้ได้ยังไงในวันนี้ ราวกับแช่แข็งสมองไว้ 40 ปีผ่านมายังจะให้คนไทยคิดเหมือนกัน คิดเหมือนระบบราชการคิด ความคิดเขาไม่เปลี่ยนเลย อยู่ในโหมดคิดแบบ bureaucratic polity ในขณะที่สังคมเปลี่ยนไปหมดแล้ว แล้วไม่ตระหนักเลยว่า bureaucratic polity มีปัญหาในตัวเอง รวมศูนย์สูง เอกภาพต่ำ ดังนั้น ไม่มีประสิทธิภาพจริง เว้นแต่คุณสั่งๆๆ แบบสฤษฏดิ์
ผมคิดว่าถ้าคุณเอาพลังส่วนที่ไม่ใช่ส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดของสังคมเป็นพลังหลัก เป็นตัวนำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มันจะถ่วงทั้งสังคมไว้ สังคมมันพร้อมจะไปไกลกว่านี้แต่เอามันไปเป็นเพดานจุกตันไว้

เครดิต: โรนินประชาธิปไตย ตอนที่ 49


EmoticonEmoticon

ที่ดินทรัพย์สินส่วนสาธารณประโยชน์ และที่ดินกว่า 2600 ไร่ ขุมทรัพย์หลายแสนล้าน กลางกรุง!

ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สิน ฯ มีที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,060,000 ตารางวา หรือ 2,650 ไร่ โดยที่ดินผืนใหญ่ที่สุด 300 ไร่อยู...

กลับไปหน้าแรก