สัญญาณเผาจริงมาแล้ว.....
สถิติการไฟฟ้าของประเทศลดลงกว่า 3 % (ทั้งการใช้สูงสุดและการใช้ในระบบรวม)ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดอีกครั้งในประวัติศาสตร์ประเทศไทย เป็นตัวเลขที่แสดงอาการให้เห็นถึงการตกต่ำขีดสุดอีกครั้ของ สภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นลักษณะอาการเดียวกันกับเหมือนช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด และตัวเลขสถิติการใช้ไฟฟ้าของประเทศในช่วงนั้นก็ลดต่ำลงสองปีซ้อน(ปี 41-42) และส่งผลให้ความยากลำบากของสภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวก็ต้องใช้เวลาอีกยาวนานหลายปีกว่าจะฟื้นฟูได้.........
"....ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีกปีนี้ ลดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว และส่งผลให้การใช้ก๊าซธรรมชาติลดลงตามการใช้ไฟฟ้าในระบบของ 3 การไฟฟ้าลดลงในช่วง 6 เดือนแรก หรือลดลงประมาณ 6 พันล้านหน่วย..." ชี้แจงโดย นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน (ข่าวใน กรุงเทพธุรกิจ 11 สิงหาคม 60)
ที่มา : EGAT
ฟังความเห็นจาก กูรูด้านการพลังงาน มีประสบการณ์ตรงในการให้คำปรึกษาหลายประเทศในเรื่องการพลังงาน......
สัญญาณ ที่ทุกท่าน ควรต้องทราบ
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่หลังสงครามโลก
ไทยพัฒนา ด้านพลังงานไฟฟ้า มาอย่างยั่งยืน
ปริมาณการใช้ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นตลอดควบคู่ความเจริญ
เราใช้ระบบ Grid line เชื่อมการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ
ตั้งแต่เมื่อกว่า 50 ปี พลังงานไฟฟ้าที่ใช้เพิ่มชึ้นทุกปี
มากบ้าง น้อยบ้าง ตามเศรษฐกิจ ที่พัฒนา
เปรียบอัตราเพิ่มของการใช้ไฟฟ้า ก็เช่นกันกับ
การเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน ของ GDP
ปีนี้ คือ ปีแรก ที่อัตราการใช้ไฟฟ้า ลดลงจากปีก่อน
แค่ครึ่งปี ลดหายไป ถึง 6,000 ล้านหน่วย(kWh)
ถ้าคิดที่ หน่วยละ 4.30 บาท ของผู้ใช้ครัวเรือน
รายได้จากการขายไฟฟ้า หายไป 25,800 ล้านบาท
ในครึ่งปีที่ผ่านมา จากยอด 500,000 ล้านบาท/ปี
หรือ 250,00 ล้านบาท/ครึ่งปี ดังนั้น
25,800 x100 หาร 250,000= 10.32%
เท่ากับมากกว่า 10% ที่เป็นการลดลงของภาคครัวเรือน
การที่ภาคส่วนอื่น ยังไม่ลดลง และก็คงต้องเพิ่ม
ก็ยิ่งหมายถึง การลดการบริโภคไฟฟ้าของประชาชน
เกินเลยยิ่งกว่า แค่10% จนอาจใกล้ 15-20% ซ้ำไป
นั่นคือ ความสุข ที่ชาวบ้าน จงใจประหยัด
ด้วยความตั้งใจ เพื่อลดรายจ่ายการบริโภคไฟฟ้า
ที่ถือเป็นปัจจัยดำรงชีพขั้นพื้นฐานสำคัญยิ่งยวด
ที่เกิดจาก ทั้งขาดความมั่นใจ และ รายรับที่ลดไป
มันเป็นสัญญาณ ที่ต้องห่วงใย ว่า "อันตรายมากๆ"
ที่ผู้บริหารชาติ คงยังไม่เข้าใจ
กว่าจะรู้ตัว ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สายเกินไป
อนาคตของชาติ กับ ความอยู่ดีกินดีของทุกท่าน
มันจะประทาน มาได้ จากที่ไหนกัน
จากข่าว :..ยอดใช้ไฟฟ้าครึ่งปีแรกลดลง 6 พันล้านหน่วย
"ปลัดพลังงาน" เผยยอดใช้ไฟฟ้าครึ่งปีแรกลดลง 6 พันล้านหน่วย หลังภาคครัวเรือนใช้ลดฮวบ เตรียมประชุมปรับแผนยุทธศาสตร์ในอนาคต ก.ย.นี้
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน จะประชุมระดมความคิดเห็นเดือนกันยายนนี้ เพื่อปรับแผนยุทธศาสตร์ในอนาคตรับกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นและส่งผลต่ออนาคต เช่น นวัตกรรมสำรองพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์เป็นต้น รวมทั้งราคาพลังงาน โดยจะมีการพิจารณาถึงปัจจัยที่ปรับ 5 แผนหลักของกระทรวงทั้งแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว (พีดีพี ) แผนน้ำมัน แผนก๊าซฯ แผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพลังงานทดแทน โดยในส่วนของแผนพีดีพี ได้สั่งการให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เร่งสรุปแนวโน้มเบื้องต้นให้เสร็จในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
"เบื้องต้น สนพ.ได้เสนอการปรับแผนพีดีพี โดยดูตัวเลขแล้วให้ไปทบทวนใหม่ เพราะตัวเลขเรื่องประเมินนวัตกรรมใหม่ เช่น สำรองไฟฟ้า อยู่ในตัวเลขที่สูงมาก ทั้งที่ขณะนี้โลกอยู่ในระหว่างพัฒนา ต้นทุนสูงและยังไม่ชัดเจนว่าจะสำรองพลังงานได้ยาวนานเพียงใด โดยขอให้ สนพ.พิจารณาหลากหลายประเด็นมากขึ้น"
ทั้งนี้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีกปีนี้ ลดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว และส่งผลให้การใช้ก๊าซธรรมชาติลดลงตามการใช้ไฟฟ้าในระบบของ 3 การไฟฟ้าลดลงในช่วง 6 เดือนแรก หรือลดลงประมาณ 6 พันล้านหน่วย จากการประเมิน คาดว่ายังไม่เกิดผลกระทบจากการที่ภาคเอกชนมีการผลิตไฟฟ้าใช้เองหรือไอพีเอสมากขึ้น เพราะมีปริมาณไม่มากนักเบื้องต้น 200 เมกะวัตต์ ในขณะที่การใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมยังเติบโตร้อยละ1-2 ซึ่งน่าจะเกิดจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคครัวเรือนมีการใช้ไฟฟ้าลดลงมาก ในส่วนนี้ อาจจะเกิดจากอากาศปีนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้ว และมีฝนตกน้ำท่วม หรืออาจจะมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดจะต้องมีการวิเคราะห์ และใช้สำหรับการปรับแผนกันต่อไป
สำหรับการใช้ไฟฟ้าทั้งปี ในปี 2560 ทางกระทรวงพลังงานยังคาดว่าจะอยู่ที่ 186,484 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และเมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการใช้พลังงานรวมของประเทศ (Energy Intensity) คาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับปีก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้พลังงานของประเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"เบื้องต้น สนพ.ได้เสนอการปรับแผนพีดีพี โดยดูตัวเลขแล้วให้ไปทบทวนใหม่ เพราะตัวเลขเรื่องประเมินนวัตกรรมใหม่ เช่น สำรองไฟฟ้า อยู่ในตัวเลขที่สูงมาก ทั้งที่ขณะนี้โลกอยู่ในระหว่างพัฒนา ต้นทุนสูงและยังไม่ชัดเจนว่าจะสำรองพลังงานได้ยาวนานเพียงใด โดยขอให้ สนพ.พิจารณาหลากหลายประเด็นมากขึ้น"
ทั้งนี้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีกปีนี้ ลดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว และส่งผลให้การใช้ก๊าซธรรมชาติลดลงตามการใช้ไฟฟ้าในระบบของ 3 การไฟฟ้าลดลงในช่วง 6 เดือนแรก หรือลดลงประมาณ 6 พันล้านหน่วย จากการประเมิน คาดว่ายังไม่เกิดผลกระทบจากการที่ภาคเอกชนมีการผลิตไฟฟ้าใช้เองหรือไอพีเอสมากขึ้น เพราะมีปริมาณไม่มากนักเบื้องต้น 200 เมกะวัตต์ ในขณะที่การใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมยังเติบโตร้อยละ1-2 ซึ่งน่าจะเกิดจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคครัวเรือนมีการใช้ไฟฟ้าลดลงมาก ในส่วนนี้ อาจจะเกิดจากอากาศปีนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้ว และมีฝนตกน้ำท่วม หรืออาจจะมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดจะต้องมีการวิเคราะห์ และใช้สำหรับการปรับแผนกันต่อไป
สำหรับการใช้ไฟฟ้าทั้งปี ในปี 2560 ทางกระทรวงพลังงานยังคาดว่าจะอยู่ที่ 186,484 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และเมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการใช้พลังงานรวมของประเทศ (Energy Intensity) คาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับปีก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้พลังงานของประเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ